วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

ลุ่มแม่น้ำโขงลงทุนเพิ่ม 9 พันล้านUS :รถไฟความเร็วสูง-ไฟฟ้าเชื่อม 6 ประเทศ



          ผลจากการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 18 เกี่ยวกับแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ(18th GMS Ministerial Conference) ระหว่างวันที่11-12 ธันวาคม 2555 ณ นครหนานหนิง มณฑลกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน เห็นชอบร่วมกันว่าจะมีการลงทุนเพิ่มในพื้นที่ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงไม่น้อยกว่า 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.7 หมื่นล้านบาทภายในปีหน้า 2013
          นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (แผนงาน GMS) ของไทยได้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 18พร้อมด้วยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะผู้ประสานงานหลักของแผนงาน GMS ในระหว่างวันที่ 11-12 ธันวาคม 2555 ณ นครหนานหนิง มณฑลกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรัฐมนตรี GMS เจ้าหน้าที่อาวุโส และภาคเอกชนจากประเทศสมาชิกและภาคีการพัฒนาทั้งในและนอกอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
          แผนงาน GMS ได้ฉลองความร่วมมือครบรอบ 20 ปี ในปี 2555 นี้ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีพัฒนาการก้าวหน้าอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แผนงาน GMS ได้ดำเนินงานรวม 179 โครงการ ประกอบด้วย โครงการลงทุน วงเงินรวม 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นด้านคมนาคม และพลังงาน และโครงการด้านวิชาการ วงเงินรวม 288 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นโครงการด้านสิ่งแวดล้อม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งนี้ ในปัจจุบันแผนงาน GMS อยู่ระหว่างการจัดทำกรอบการลงทุนของภูมิภาค (Regional Investment Framework: RIF) ตามแนวทางที่กำหนดภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงาน GMS ฉบับใหม่ ปี 2555-2565 ที่เน้นการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจเป็นแนวทางหลัก
          ในโอกาสการประชุมนี้ รัฐมนตรีแผนงาน GMS ได้ร่วมเสนอแนวทางการจัดทำกรอบการลงทุนฯ โดยสนับสนุนให้กรอบการลงทุนฯ มีความชัดเจนตามแนวคิดการพัฒนาที่สร้างสรรค์ ครอบคลุม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเร่งพัฒนาการพัฒนาการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเมืองและเมืองชายแดน และเขตเศรษฐกิจพิเศษ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านเกษตรและพลังงาน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของภาคส่วนต่างๆ อาทิ แรงงาน หน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนการปรับปรุงกฎระเบียบและกฎหมายให้เอื้อต่อการลงทุน รัฐมนตรีทุกประเทศเห็นพ้องกันว่าการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชน
          การเพิ่มบทบาทของ SMEs การใช้ประโยชน์จากคณะทำงาน 9 สาขาภายใต้แผนงาน GMS และสภาธุรกิจ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงการเชื่อมโยงแผนงาน GMS กับอาเซียน และกลไกระดับภูมิภาคอื่นๆ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระดมทุนเพื่อการพัฒนารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ได้ยืนยันการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยต่อแผนงาน GMS อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นย้ำบทบาทและข้อเสนอของไทย
          (1) ในการช่วยพัฒนากา เชื่อมโยงทางกายภาพของภูมิภาค และขอให้ ADB ช่วยสนับสนุนเมียนมาร์ในการเชื่อมต่อถนนในบริเวณเมียวดี-กอกะเรก และถือโอกาสนี้แสดงความยินดีกับพิธีเปิดท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนของไทย และพิธีเทคอนกรีตพื้นสะพานโครงการสะพานมิตรภาพ แห่งที่ 4 ระหว่างไทย-สปป.ลาว (เชียงของ-ห้วยทราย) ในวันที่ 12 ธันวาคม 2555
          (2) ขอให้ GMS เร่งปรับปรุงการอำนวยความสะดวกการค้าในเรื่องการปรับแนวเส้นทางของระเบียงเศรษฐกิจ การวางระบบการประกันภัยข้ามพรมแดน การบริหารจัดการชายแดนที่ทันสมัย
          (3) ขอให้ ADB ช่วยสนับสนุนความต่อเนื่องของแผนงานพนมเปญให้ต่อเนื่องไปหลังจากปี 2557
          (4) ไทยขอให้นักลงทุนและภาคีการพัฒนาที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย
          (5) เน้นย้ำความสำคัญของการเชื่อมโยงเกษตรกรและ SMEs เข้ากับห่วงโซ่การผลิตของภูมิภาค และการพัฒนาช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงิน
          (6) เร่งขับเคลื่อน National Single Window และ Self
Certification เพื่อสนับสนุนกรอบอาเซียน
          (7) ไทยยินดีสนับสนุนศูนย์ประสานงานด้านท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อมและเกษตร ของ GMS ที่มีที่ตั้งในไทยอยู่แล้วในปัจจุบัน และพร้อมที่จะเป็นที่ตั้งของศูนย์ประสานงานด้านพลังงาน และด้านรถไฟของภูมิภาคในระยะต่อไป
          (8) ขอให้ ADB ทำการประเมินผลเพิ่มเติมในเรื่องการพัฒนาภาคเอกชนและชุมชน และคัดเลือกโครงการลงทุนโดยคำนึงถึงผลตอบแทนทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมคู่กับด้านเศรษฐกิจ
          นอกจากนี้ รัฐมนตรีประเทศ GMS ให้ความเห็นชอบผลงานสำคัญ รวม 5 เรื่อง ได้แก่ (1) ยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการสาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ปี 2556-2560 (2) แผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจสำหรับการดำเนินงานร่วมกันเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีการเคลื่อนย้ายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ปี 2555-2557 (3) การขยายระยะเวลาการดำเนินงานของแผนงานสนับสนุนด้านการเกษตรระยะที่ 2 ให้สิ้นสุดในปี 2563 (4) แนวคิดการจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ให้เป็นองค์กรที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลในระยะเริ่มแรก และ (5) บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลต่อการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศ GMS ซึ่งในการประชุมนี้ได้มีการลงนามระหว่างกัมพูชา สปป.ลาว จีนและเวียดนามในเรื่องนี้แล้ว ในขณะที่ไทยและเมียนมาร์จะลงนามเป็นภาคีในภายหลังกรอบการลงทุนของภูมิภาค พร้อมด้วยแผนงานและโครงการลงทุนลำดับความสำคัญสูงที่อยู่ระหว่างจัดทำและจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2556 คาดว่าต้องใช้วงเงินลงทุนอย่างต่ำประมาณ 9,000ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกรอบการลงทุนฯ นี้เป็นแผนสำคัญที่จะก่อให้เกิดการลงทุนขนาดใหญ่ในภูมิภาค รวมถึงจะสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนทั้งในเมืองและชนบท ตลอดจนช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาและสร้างสมดุลการพัฒนาของประเทศในภูมิภาคได้อย่างมีนัยสำคัญ

คุนหมิงประกาศเป็นศูนย์กลางรถไฟความเร็วสูงในภูมิภาค ใต้จรดสิงคโปร์ ตะวันออกจรดเซี่ยงไฮ้


เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2556 เอกอัครราชทูตจีน ประจำมาเลเซีย กล่าวว่า จีนหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารถไฟความเร็วสูงระหว่างสิงคโปร์-มาเลเซียจะเกิดขึ้นโดยเร็ว และขยายเส้นทางต่อเนื่องไปยังทิศเหนือเพื่อเชื่อมต่อกับไทย ซึ่งจะทำให้เครือข่ายการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากนครคุนหมิงไปถึงสิงคโปร์เสร็จสมบูรณ์
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังได้กล่าวเมื่อปลายเดือน ก.ค. 2556 ว่า แผนการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงสิงคโปร์-มาเลเซีย ได้รับการเห็นชอบจากรัฐบาลทั้งสองประเทศแล้ว โดยมีระยะทางกว่า 300 กม. ความเร็ว 350-450 กม./ช.ม. ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางระหว่างสิงคโปร์กับกัวลาลัมเปอร์ จาก 6 ช.ม.ในปัจจุบันให้เหลือเพียง 90 นาทีเท่านั้น คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2563
เส้นทางรถไฟความเร็วสูงสิงคโปร์-มาเลเซีย ถือเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟแพนเอเชียสายกลาง โดยในการประชุม World Congress on High Speed Rail ครั้งที่ 7 จัดขึ้น ณ กรุงปักกิ่ง เมื่อปี 2553 จีน ลาว และไทย ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือ จะสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีน ลาว และไทย
เมื่อปี 2553 รัฐสภาของลาวได้ลงมติเห็นชอบแผนการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมระหว่างคุนหมิงกับเวียงจันทน์ โดยได้มีการเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 25 เม.ษ. 2554 คาดแล้วเสร็จภายใน 4 ปี ใช้งบประมาณ 7,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ แบ่งเป็นฝ่ายจีนรับผิดชอบร้อยละ 70 ฝ่ายลาวรับผิดชอบร้อยละ 30 ขณะที่เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2553 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีของไทยได้มีมติเห็นชอบร่างกรอบการเจรจาในการร่วมมือกับจีนก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูง 3 สาย คาดเริ่มก่อสร้างปี 2557
หากเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสิงคโปร์-มาเลเซีย สามารถเกิดขึ้นได้จริง ก็จะทำให้เครือข่ายการเชื่อมต่อจากคุนหมิงไปถึงสิงคโปร์เสร็จสมบูรณ์ นอกจากนี้ หากผนวกกับเส้นทางรถไฟความเร็วสูงคุนหมิง-เซี่ยงไฮ้ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2558 ช่วยให้การเดินทางระหว่างคุนหมิงกับเซี่ยงไฮ้ใช้เวลาเพียง 8 ช.ม. ก็เท่ากับว่า ภูมิภาคนี้จะมีเครือข่ายเส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่มีระยะทางยาวมาก เชื่อมโยงเซี่ยงไฮ้ไปถึงสิงคโปร์ โดยมีคุนหมิงเป็นศูนย์กลางของเส้นทาง
ทั้งนี้ เส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายนี้ จะช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าระหว่างจีนกับอาเซียน ซึ่งมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับการขนส่งประเภทอื่นๆ แล้ว การขนส่งระบบรางมีศักยภาพสูงกว่า เร็วกว่า อีกทั้งยังสามารถขนส่งนักท่องเที่ยวจีนไปยังประเทศตามแนวเส้นทางรถไฟ

แนวรบตะวันตกไม่สงบจริง:ประท้วงพม่าก่อสงครามกับรัฐคะฉิ่น

 
เป็นเรื่องที่เคลียร์ไม่จบแม้ว่าพม่าดูเหมือนจะ Take Off หลายด้านทั้งเศรษฐกิจการเมือง  และการสร้างภาพลักษณ์สู่สังคมโลก แต่ปัญหาภายในยังเป็นฝีก้อนโตที่ยังไม่ได้บ่งและเยียวยา นับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างพม่ากับกองทัพคะฉิ่น KIA ที่มีผลมายาวนาน 17 ปี กระทั่งเมื่อเดือนมิถุนายน 2554 ชาวบ้านในรัฐคะะฉิ่นต้องอพยพหนีภัยสู้รบแล้วหลายแสนคน ปัญหาสู้รบกับชนกลุ่มน้อยติดอาวุธที่ยังค้างคาอยู่โดยไม่ยอมตกลงหยุดยิงเหมือนกลุ่มอื่นๆ กำลังเป็นปัญหารบกวนการปฏิรูปของรัฐบาลประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ที่ยังมีปัญหาชนกลุ่มน้อยโรฮิงญาในรัฐยะไข่ทางภาคตะวันตกของประเทศคาราคาซังอยู่เช่นกันจึงเป็นปัญหาใหญ่ที่รอทางออก
 
ด้านสหรัฐและสหประชาชาติ ได้ประนามกองทัพพม่าที่ใช้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อรัฐคะฉิ่น ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งหากนับจากปี 2554 มีชาวคะฉิ่้นหลายหมื่นคน ต้องไร้ที่อยู่อาศัย  ส่วนจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ยังมีการปิดบังอยู่
กระทั่งวันนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่เช้านี้ (25 มกราคม) มีการประท้วงของกลุ่ม NGO และชาวพม่าบริเวณ เมือง ประตูเชียงใหม่ และ ประตูสวนปรุง
 
ก่อนหน้านี้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลพม่ายุติการโจมตีกลุ่มกบฏชาว "คะฉิ่น" ในรัฐคะฉิ่น ทางตอนเหนือสุดของพม่า เพราะการโจมตีได้ทำลายบ้านหลายหลังในเขตแดนของจีนและขอให้รัฐบาลพม่าแก้ไขปัญหาขัดแย้งกับกลุ่มต่างๆ โดยสันติวิธี รวมทั้งขอให้ทางการพม่าคุ้มครองสันติภาพและความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่าง 2 ประเทศ

กองทัพพม่ายอมรับว่า ได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายของกลุ่มกบฏจริง รวมทั้งยึดที่ตั้งทางทหารแห่งหนึ่งของกลุ่มกบฏบริเวณยอดเนินเขา เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มกบฏขัดขวางขบวนลำเลียงสะเบียงไปยังฐานทัพแห่งหนึ่งของฝ่ายรัฐบาลในเขตเมืองลาชายัง ในขณะที่กลุ่มกบฏก็ยอมรับเช่นกันว่าได้ซุ่มโจมตีขบวนลำเลียงของฝ่ายรัฐบาล เพราะเป็นขบวนที่ขนอาวุธและกระสุนไปให้ทหารพม่า ซึ่งจะส่งผลทำให้ฐานทหารของชาวคะฉินเสี่ยงต่อการถูกบุกยึด

กองทัพอิสรภาพคะฉิ่นเป็นทหารขององค์กรอิสรภาพคะฉิ่น (Kachin Independence Organisation - KIO) พวกเขาเรียกร้องให้รัฐคะฉิ่นมีอำนาจปกครองตนเองมากขึ้น และเป็นกลุ่มติดอาวุธที่สำคัญกลุ่มเดียวในพม่าที่ยังไม่สามารถตกสัญญาหยุดยิงกับทางการพม่าได้
ในเดือนธันวาคม 2555ทางกองทัพพม่าเริ่มปฏิบัติการรอบใหม่ในรัฐคะฉิ่น มีการนำเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินทหารเข้าไปบินต่ำเหนือบริเวณค่ายผู้พลัดถิ่นในประเทศ (IDPs) และตามเมืองต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ปกครองของกองทัพอิสรภาพคะฉิ่นตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมเป็นต้นมา ทำให้พลเรือนเกิดความหวาดกลัวอย่างมาก รวมทั้งคนที่อยู่ในค่ายและเด็ก
พลเรือนชาวคะฉิ่นให้ข้อมูลว่า ทหารพม่าได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศใกล้กับเมืองซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศเหนือของพื้นที่ปกครองของกองทัพอิสรภาพคะฉิ่นในกลางเดือนธันวาคม และโจมตีทางอากาศใกล้กับเมืองหล่ายจ่าเมื่อวันที่ 24ธันวาคม 2555
ความขัดแย้งครั้งนี้ส่งผลให้มีคนต้องอพยพโยกย้ายกว่า 75,000 คน และต้องไปอาศัยอยู่ตามค่ายผู้พลัดถิ่นในประเทศ มีรายงานข่าวว่าตลอดทั้งปี 2555ทางการพม่าจำกัดการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปในค่ายผู้พลัดถิ่นในประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ปกครองของกองทัพอิสรภาพคะฉิ่น เป็นเหตุให้ประชาชนขาดแคลนอาหารและมีปัญหาด้านสุขอนามัย  
ดังนั้นจะต้องจับตาว่าวิกฤติภายในพม่านี้ผู้นำพม่าจะแก้ไขเรื่องร้อนนี้อย่างไรเพราะกระทบกับหลายโครงการที่ทำร่วมกับจีนโดยเฉพาะโครงการท่อก๊าซเชื่อมจีนด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เงินหยวนก้าวกระโดดขึ้นอันดับ 10 ใช้มากที่สุดในโลกแล้ว



การให้ความสำคัญของทางการจีนที่จะสนับสนุนให้เงินหยวนสู่สากล หรือ  “RMB Internationalization”  ใกล้ความจริงขึ้นทุกวันแล้วดังข้อมูลสถิติล่าสุดจากสมาคมโทรคมนาคมทางการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก (SWIFT) ชี้ว่า เดือน มิ.ย. 56 ที่ผ่านมา เงินหยวนได้แซงหน้าเงินบาทและโครนนอร์เวย์ ติดอันดับที่ 11 (จากเติมอันดับที่ 20 ในเดือน ม.ค. 55 ) ในบรรดาสกุลเงินที่ใช้ในการชำระเงินมากที่สุดในทั่วโลก พร้อมกับทำลายสถิติสูงสุดโดยครองสัดส่วนการชำระเงินถึงร้อยละ 0.87
 
ภาพจาก http://www.swift.com
Patrick de Courcy หัวหน้าฝ่ายการตลาดและกลยุทธ์เขตเอเชียแปซิฟิก SWIFT ชี้ว่า ยอดมูลค่าการชำระเงินทั่วโลกลดลงร้อยละ 4.5 ในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดมูลค่าการชำระด้วยเงินหยวนลดลงเพียงร้อยละ 1.3 ทั้งนี้ การที่การชำระด้วยเงินหยวนเพิ่มขึ้น “อย่างรวดเร็ว” ในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากอังกฤษเพิ่มการใช้เงินหยวนในการค้าขายเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้เงินหยวนเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในตลาดเงินโลก
นอกจากนี้ ผลสำรวจจากกลุ่มเอชเอสบีซี (HSBC) พบว่า วิสาหกิจที่สำรวจมีเกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 48) รู้จักการใช้เงินหยวนในการชำระเงินข้ามพรมแดนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะฮ่องกงและอังกฤษ ซึ่งมีวิสาหกิจรู้จักการชำระด้วยเงินหยวนถึงร้อยละ 72 และร้อยละ 57 ตามลำดับ รองลงมาคือสหรัฐอเมริกาและเยอรมัน โดยอยู่ที่ร้อยละ 44 และร้อยละ 43 ตามลำดับ ทั้งนี้ เงินหยวนมีความเป็นสกุลเงินสากลมากยิ่งขึ้น แสดงว่าเศรษฐกิจจีนมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในเศรษฐกิจโลก
 
ภาพจาก http://www.swift.com
อย่างไรก็ตาม หากจะเทียบเงินหยวนกับเงินดอลลาร์สหรัฐหรือยูโร (ดอลลาร์สหรัฐกับยูโรครองสัดส่วนร้อยละ 73 ของการชำระเงินทั่วโลก) เงินหยวนยังต้องผ่านหนทางอีกยาวไกล นอกจากนี้ ในการสำรวจวิสาหกิจร้อยละ 42 ยังเห็นว่า การชำระด้วยเงินหยวนยังติดปัญหาขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก นายเหอ ซุ่นหัว ผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริการการเงินด้านอุตสาหกรรมและการค้า HSBC China เห็นว่า การที่เงินหยวนเป็นที่รู้จักกันดีในตลาดเงินโลก ได้ปูพื้นฐานอันดีต่อการเพิ่มขึ้นของการใช้เงินหยวน บวกกับธนาคารกลางจีนมีนโยบายลดขั้นตอนการชำระด้วยเงินหยวน พร้อมกับปรับระบบการให้บริการชำระด้วยเงินหยวนให้สมบูรณ์ในช่วงที่ผ่านมา นับเป็นข่าวดีสำหรับการพัฒนาเงินหยวนให้เป็นสกุลเงินสากลมากยิ่งขึ้น และคาดว่าเงินหยวนจะก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 3 สกุลเงินที่ใช้ในการชำระเงินมากที่สุดในโลกภายในปี 2558
ในฐานะจีนเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับที่ 2 ของโลก และตามกระแสการขยายตัวทางการค้าระหว่างจีนกับอาเซียน เงินหยวนจะแสดงบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในการค้าในภูมิภาคอาเซียน สำหรับประเทศไทยนั้น ในฐานะจีนเป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับที่ 1 และแหล่งนำเข้าใหญ่อันดับที่ 2 ของไทย การชำระด้วยเงินหยวนในการค้าขายกับจีนอาจเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการไทย ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสื่อกลาง ลดต้นทุนในการทำค้าขาย ตลอดจนช่วยสร้างเครือข่ายคู่ค้าจีนได้มากยิ่งขึ้น

ก้าวที่ท้าทายเมืองเชียงใหม่สู่มรดกโลก: Chiang Mai Sacred City ไกลเกินหรือใกล้แค่ปลายจมูก



            เป็นโครงการสัมมนาต่อเนื่องที่จัดเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปีนี้ เพื่อสานต่อและผลักดันเมืองเชียงใหม่ให้เข้าสู่มรดกโลก ภายใต้โครงการ Chiang Mai Sacred City โดยในวันพรุ่งนี้  ( 13 กันยายน 2556 ) เวลา 13.30 น.- 15.30 น.  จะได้มีการจัดสัมมนา ณ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยงานในครั้งนี้จะเป็นการประชุมสัมมนาพระสังฆาธิการจำนวน 130 รูป และจะมี องคมนตรี ศ. นพ.เกษม วัฒนชัย ให้เกียรติมาปาฐถาด้วย
เรื่องเดิมจากการที่คณะวิจิตรศิลป์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ร่วมกับหลายๆ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จัดการประชุมสัมมนาการนำร่องเมืองเชียงใหม่สู่มรดกโลก ไปเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2556 ณ หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งการประชุมสัมมนาในครั้งนั้น เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับมรดกโลกจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก พร้อมด้วย ตัวแทนจากองค์กรยูเนสโก และกรมศิลปากรที่ดูแลรับผิดชอบด้านมรดกโลกโดยตรง  ภายในงานได้มีการแสดงคิดเห็นจากทุกๆ ฝ่ายทั้งจากคนในพื้นที่ที่เคยมีส่วนร่วมผลักดันโครงการนี้ และจากผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่รับผิดชอบดูแลเรื่องโครงการมรดกโลกโดยตรง เพื่อหาแนวทางดำเนินการร่วมกันต่อไปนั้น
หลังจากประชุมสัมมนาในครั้งนั้นก็ได้รับการลงมติเป็นเอกฉันท์จากตัวแทนทุกภาคส่วนของ จ.เชียงใหม่ สนับสนุนให้มีการดำเนินการสานต่อโครงการนี้ ต่อไป จึงได้หารือร่วมกัน ถึงความเป็นไปได้ในช่วงแรกนี้ว่า หากมองจากความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนาในอดีต ที่พญามังรายได้พัฒนาเมืองเชียงใหม่และได้ทรงก่อสร้างวัดวาอารามขึ้นหลายแห่ง โดยมีวัดเชียงมั่นเป็นวัดแรก และยังมีวัดในเขตเมืองเชียงใหม่อีกจำนวนกว่า 120 วัด จึงถือได้ว่า วัดเป็นสถานที่ผูกพันกับวิถีชีวิตกับชาวเชียงใหม่มาตั้งแต่ครั้งโบราณ จวบจนปัจจุบัน แต่ทั้งนี้หากขาดผู้ที่รู้ถึงคุณค่าและความงามของวัดต่างๆ นี้แล้ว สถานที่เหล่านี้ก็คงเสื่อมสูญและหมดความสำคัญไปในที่สุด

ด้วยเหตุนี้ จึงได้กำหนดมีการจัดการประชุมสัมมนาสานต่อในครั้งนี้ขึ้น  โดยทางผู้ดำเนินโครงการ คือคุณอนันต์ ลี้ตระกูล กรรมการสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คุณวัชระ ตันตรานนท์ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับคณะวิจิตรศิลป์ และสำนักงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันพัฒนาเมืองเชียงใหม่สู่มรดกโลก โดยขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรมตามกระบวนการที่ยูเนสโกกำหนดเงื่อนไขไว้  และประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวให้เกิดความเข้าใจตรงกัน มองไปในทิศทางเดียวกัน อันจะช่วยสร้างจิตสำนึกให้ชาวเชียงใหม่เกิดความภาคภูมิใจและตระหนักในคุณค่า ให้เกิดการธำรงเอกลักษณ์ของแต่ละชุมชนให้ประจักษ์แก่ชาวโลก อีกทั้งเพื่อเปิดเวทีรับฟังข้อเสนอแนะ ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากทุกๆ ฝ่าย ทั้งจากคนในพื้นที่ที่เคยมีส่วนร่วมผลักดันโครงการนี้มาก่อน และจากผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่รับผิดชอบดูแลเรื่องโครงการมรดกโลกโดยตรง อันจะเป็นการสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน สร้างเครือข่าย แนวร่วม ในการอนุรักษ์เมืองเก่าเชียงใหม่ ให้เป็นมรดกของท้องถิ่น มรดกของชาติ และมรดกของโลกต่อไป
ในการประชุมครั้งนั้น  ดร.ณรงค์ศักดิ์ บุณยมาลิก รองผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การยูเนสโก ปารีส กล่าวว่า การจะขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกนั้นจะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ทั้งการจัดทำบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) การจัดทำแฟ้มข้อมูลเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกเพื่อทำการตรวจสอบและประเมินคุณค่า ก่อนจะพิจารณาว่าจะขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกหรือไม่
ขณะเดียวกัน สถานที่ที่นำเสนอนั้นจะต้องสอดคล้องกับแนวคิดของการเป็นมรดกโลก กล่าวคือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติที่มีความโดดเด่นเป็นเลิศในระดับสากล ซึ่งการที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูนจะเสนอขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกนั้นจำเป็นจะต้องพิจารณาว่าจะนำเสนอพื้นที่หรือสถานที่ใดที่เห็นว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าว นอกจากนี้ การจะเป็นมรดกโลกได้นั้นยังต้องได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชนหรือในพื้นที่ เพราะเคยมีตัวอย่างในหลายประเทศมาแล้วที่ได้เสนอสถานที่ขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่ไม่ได้รับการอนุมัติเนื่องจากคณะกรรมการเห็นว่าคนในท้องถิ่นไม่ได้มีส่วนร่วมหรือให้การสนับสนุน
ขณะที่ ดร.หม่อมราชวงศ์ รุจยา อาภากร ผู้อำนวยการศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ องค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือซีมีโอ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องคิดในการผลักดันให้เชียงใหม่และลำพูนเป็นมรดกโลกคือจะเสนออะไรเป็นมรดกโลก และจะเป็นมรดกโลกไปเพื่ออะไร เพราะการเสนอสถานที่เป็นมรดกโลกนั้นสิ่งที่ต้องเข้าใจคือวัตถุประสงค์ของโครงการมรดกโลกและความสำคัญของการเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม จะคิดเอาเองว่าเรามีของดีแล้วคนอื่นจะเห็นด้วยไม่ได้
ขณะเดียวกัน ในขอบเขตการพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกนั้นมีหลากหลาย ไม่ได้จำกัดเฉพาะโบราณสถานหรือพื้นที่ด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยมักจะเสนอแต่โบราณสถานหรือพื้นที่ป่าเท่านั้น ดังนั้น ในกรณีของเชียงใหม่-ลำพูนอาจจะต้องลองคิดนอกกรอบดูว่าจะนำเสนออะไรได้บ้าง
ดร.หม่อมราชวงศ์ รุจยากล่าวต่อไปว่า หลายฝ่ายมักกล่าวว่าการเป็นมรดกโลกนอกจากจะเป็นการอนุรักษ์พื้นที่ไว้เพื่อลูกหลานแล้ว ยังจะได้ประโยชน์อย่างมากจากการท่องเที่ยวด้วย แต่ก่อนที่จะเป็นมรดกโลกได้นั้นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของรัฐบาล อีกทั้งต้องทำการศึกษาวิจัยตามหลักสากลเกี่ยวกับสถานที่ที่จะเสนออย่างละเอียดซึ่งถือเป็นงานใหญ่
นอกจากนี้ เมื่อได้เป็นมรดกโลกแล้วก็ยังต้องทำการบริหารจัดการและดูแลพื้นที่ดังกล่าวให้คงสภาพเดิม ซึ่งการดูแลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นงานหนักที่สิ้นเปลืองในหลายๆ ด้าน ดังนั้นการเสนอแนวคิดเรื่องการเป็นมรดกโลกนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ทุกฝ่ายต้องรับรู้ร่วมกันด้วยว่ากระบวนการให้ได้มาซึ่งการเป็นมรดกโลกและการรักษามรดกโลกไว้นั้นเป็นงานที่ยากเช่นกัน หากสนใจแค่ว่าทำอย่างไรให้ได้เป็นก็อาจประสบปัญหาเหมือนกับอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาที่ขาดการเอาใจใส่ดูแล จนกระทั่งมีข่าวว่าจะถูกถอดจากการเป็นมรดกโลกมาแล้ว
ด้านท้าวสมอก พันทะวง รองผู้อำนวยการสำนักแถลงข่าว วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว กล่าวว่า เมืองหลวงพระบางได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 ซึ่งตลอด 18 ปีที่เมืองหลวงพระบางเป็นเมืองมรดกโลกนั้นได้ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงของเมืองในหลายๆ ด้านทั้งในด้านบวกและลบ จากเดิมในปี 1995 ที่ประชากรในหลวงพระบางมีรายได้เฉลี่ยเพียงแค่ 100 เหรียญสหรัฐต่อปี แต่ในปัจจุบันรายได้ของประชาชนได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,200 เหรียญสหรัฐต่อปี รวมทั้งยังทำให้หลวงพระบางกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และได้รับการยกย่องจากหลายฝ่ายว่าเป็นเมืองที่น่ามาท่องเที่ยว
แต่ในขณะเดียวกันวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยเฉพาะการรับเอาอารยธรรมแบบตะวันตกเข้ามาในวิถีชีวิตตามความเจริญที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประเพณีวัฒนธรรมที่เคยสืบทอดกันมาเริ่มถูกละเลย ซึ่งถือเป็นผลกระทบในแง่ลบที่มาพร้อมกับความเจริญที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นหากเชียงใหม่และลำพูนคิดถึงการเป็นมรดกโลกก็ควรจะมีการเตรียมการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาเอาไว้ด้วย
  หากต้องการทราบรายละเอียดในการจัดงานครั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โทร. 053-944859 หรือทาง www.finearts.cmu.ac.th และที่www.facebook.com/คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

พม่าเปิดซองสร้าง-Renovate 3 สนามบินใหม่ :เกาหลี-ญี่ปุ่นคว้าชนะประมูล


รายงานจากกระทรวงคมนาคมของพม่าเมื่อวานว่าได้ประกาศผู้ที่ชนะการประมูลสร้างสนามบินแห่งใหม่ 3 แห่ง คือ Yangon International Airport; Mandalay International Airport และ Hanthawaddy International Airport ที่เมืองพะโค หรือหงสาวดี
บริษัทที่คว้าการประมูลทั้ง 3 แห่งคือ 1.) Pioneer Aerodrome Services บริษัทของพม่าเองที่จะไปรีโนเวทสนามบินนานาชาติ Yangon International Airport 2.)  Mitsubishi Corporation และเจแปน แอร์ไลนส์ โค ได้รับอนุมัติทำสัญญาในการปรับปรุงรีโนเวท และบริหารสนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ Mandalay International Airport  นาน 30 ปี และ 3.) บริษํทจากเกาหลีใต้ South Korea’s Incheon Airport consortium รับสร้างสนามบินใหม่หันธาวดี Hanthawaddy International Airport  ที่เมืองพะโค มูลค่าราว 1,000 ล้านดอลลาร์ ที่มีความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร 12 ล้านคนต่อปี ใกล้กับนครย่างกุ้ง ให้แล้วเสร็จภายในปี 2561 และได้รับสัมปทาน บริหารสนามบินแห่งนี้นาน 50 ปี
ทั้งนี้พม่าประกาศเริ่มโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานนานาชาติแห่งใหม่ในเดือนกันยายน เพื่อรองรับกระแสนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่คาดว่าจะหลั่งไหลเข้ามา หลังจากที่พม่าได้เริ่มดำเนินการปฏิรูปประเทศ โดยท่าอากาศยานนานาชาติหันธาวดีตั้งอยู่ในเขตพะโค หรือหงสาวดี ซึ่งอยู่ทางภาคกลางของประเทศ โดยจะมีเนื้อที่ทั้งหมด 9,690 เอเคอร์ (3,924 เฮคตาร์)โครงการมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนี้ คาดว่า จะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2560
โดยกรมการบินพลเรือนพม่า (DCA) ระบุว่า ทางกรมได้ทำการคัดเลือกบริษัทที่ได้แสดงเจตนาลงทุนทั้งหมด 30 แห่ง โดยพิจารณาจากศักยภาพทางการเงิน ประสบการณ์ ความชำนาญของบุคลากร และความพร้อมทางทรัพยากรในการก่อสร้างท่าอากาศยานนานาชาติหันธาวดี จนได้บริษัทที่ผ่านการคัดเลือกทั้งสิ้น 7 แห่งหลังจากที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว บริษัทเหล่านี้จะต้องทำเรื่องยื่นประมูลโครงการอย่างเป็นทางการ โดยจะเป็นการระดมทุนในรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) การร่วมลงทุน หรือสัมปทาน Build-Operate-Transfer (BOT) ตามกฎหมายการลงทุนจากต่างประเทศของพม่า
ท่าอากาศยานแห่งใหม่หันธาวดีจะเป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่ 4 ของพม่า ต่อจากสนามบินย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ และเนปิดอว์ สนามบินนี้จะถูกออกแบบให้สามารถรองรับเครื่องบิน Airbus A-380 และเครื่องบินขนส่งสินค้าได้ อีกทั้งยังสามารถรับนักท่องเที่ยวได้ 12 ล้านคนต่อปี ซึ่งสามารถเพิ่มศักยภาพจนสามารถรองรับได้ถึง 35 ล้านคนต่อปี ซึ่งจริงๆแล้วนั้น กระทรวงคมนาคมพม่าได้ริเริ่มโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานนานาชาติหันธาวดีเมื่อปี 2539 และได้ลงเสาหลักไว้เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม บริษัทสัญชาติมาเลเซียไม่สามารถดำเนินโครงการก่อสร้างได้เสร็จสิ้นเนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ
ส่วนแผนยกระดับท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง เพื่อใช้เป็นสถานที่รองรับผู้โดยสารจำนวน 6 ล้านคนต่อปี จากที่ในปัจจุบันสามารถรองรับได้เพียง 2.7 ล้านคนต่อปีท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง ซึ่งถูกสร้างบนพื้นที่กว่า 1,000 เอเคอร์ (405 เฮคตาร์) มีนักท่องเที่ยวใช้บริการเกือบ 500,000 คนเมื่อปี 2555 ซึ่งคาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจะแตะหลัก 6 ล้านในปี 2560เนื่องด้วยกระแสนักท่องเที่ยวที่ไหลเข้ามาหลังจากที่พม่าได้เปิดประเทศนั้น จึงทำให้ต้องมีการดำเนินการก่อสร้างท่าอากาศยานนานาชาติหันธาวดีขึ้น
ในอนาคต พม่าก็กำลังมีแผนแปรรูปกิจการบริหารสนามบินในประเทศทั้งหมดให้เป็นของเอกชน เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินนอกจากจำนวนท่าอากาศยานนานาชาติพม่าในปัจจุบันที่มีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่สนามบินยางกุ้ง มัณฑะเลย์ และเนปิดอว์แล้ว พม่ายังมีสนามบินระดับภูมิภาคอีก 29 แห่งในขณะนี้มีสายการบินระหว่างประเทศที่ให้บริการในพม่าเป็นจำนวนทั้งสิ้น 24 ราย และสายการบินที่ให้บริการในประเทศอีก 7 ราย

ส่องยุทธศาสตร์โลจิสติกส์นครคุนหมิง: ช่องทางกระจายสินค้าไทยภาคเหนือสู่จีน


ผมขอนำบทความที่มีประโยชน์มากต่อการกำหนดทิศทางการพัฒนาภาคเหนือในอนาคตของศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในจีน ณ นครคุนหมิง ที่รวบรวมประมวลโดยคุณธิดารัตน์ วนพฤกษาศิลป์  ที่ผมคิดว่ามุมมองจากในพื้นที่ที่สะท้อนออกมาถึงเมืองไทยโดยเฉพาะภาคเหนือชัดเจนมาก และขอขอบคุณ Presentation ของ Miss.Mengtian  ZhangLuo (张骆梦甜)  Assistant to the President ของ Yunnan Logistics Industry Association ที่ได้นำเสนอที่เชียงรายเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ตั้งแต่ปี 2554 ยูนนานได้เปิดตัวเองให้เป็นประตูเชื่อมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอเชียใต้ และมณฑลภายในของจีน โดยมีคุนหมิงเป็นจุดศูนย์กลางของพื้นที่ภาคกลางของยูนนาน ภายใต้ยุทธศาสตร์ “หัวสะพาน” ซึ่งรัฐบาลจีนให้ความเห็นชอบ และได้บรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (ปี 2554-2558)พร้อมทั้งผลักดันการสร้างระเบียงเศรษฐกิจ 4 เส้นทาง คือ คุนหมิง-ฮานอย คุนหมิง-กรุงเทพคุนหมิง-ย่างกุ้ง และคุนหมิง-กัลกัตตา และการพัฒนาทางถนนและระบบรางเชื่อมกับมณฑลตอนในของจีน (เขตเศรษฐกิจเฉิงตู-ฉงชิ่ง เขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล และเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียง) ซึ่งมีคุนหมิงเป็นเสมือนจุดศูนย์กลาง และชุมทางการเชื่อมต่อ
ทุกวันนี้ คุนหมิงเร่งพัฒนาระบบคมนาคมอย่างมาก ถ้าใครมาคุนหมิงในช่วงนี้ จะพบว่าถนนหนทางอยู่ระหว่างการขุดเจาะจำนวนไม่น้อย ทั้งทางด่วน รถไฟใต้ดิน และรถไฟความเร็วสูง เพราะมีเป้าหมายว่า ในอนาคตอันใกล้ จะใช้เวลาเดินทางภายในมณฑล 2 ชม. เฉิงตู-ฉงชิ่ง 3-4 ชม. กว่างโจว 6 ชม. เซี่ยงไฮ้ 8 ชม. และปักกิ่ง 10 ชม. อีกทั้งมีการก่อสร้างอาคารแถบชานเมืองคุนหมิงจำนวนมาก มีการสร้างเมืองใหม่ในอำเภอเฉิงก้ง ที่ห่างจากตัวเมืองคุนหมิงราว 20 กม. เพื่อให้เป็นแหล่งรวมสถาบันการศึกษา ศูนย์ราชการและย่านธุรกิจ
ส่อง “แผนพัฒนาโลจิสติกส์นครคุนหมิง”
การเร่งผลักดันระบบคมนาคมของนครคุนหมิง เพื่อสร้างระบบบริหารจัดการขนส่งคนและสินค้า รองรับการพัฒนาความเป็นเมืองที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว จากการวิจัยของผู้เชี่ยวชาญด้านระบบขนส่งของจีน คาดการณ์ว่า ปริมาณการขนส่งสินค้าในนครคุนหมิงจะเพิ่มจาก 137 ล้านตันในปี 2553 เป็น 323 ล้านตันในปี 2563 โดยในปัจจุบัน มีปริมาณการขนส่งประมาณ 170 ล้านตัน รัฐบาลนครคุนหมิงได้กำหนด “แผนพัฒนาโลจิสติกส์อันทันสมัยนครคุนหมิง 2554-2558” และเตรียมงบประมาณ 1.12 ล้านล้านหยวน เพื่อพัฒนานครคุนหมิงเป็นศูนย์กระจายสินค้าระหว่างจีนตอนในและอาเซียน หรือที่ภาครัฐนครคุนหมิงเรียกว่า “เครือข่าย 1234” นั่นเอง
ในส่วนของแผนการก่อสร้างซึ่งเรียกว่า “แผนก่อสร้าง 1951”ประกอบด้วย เขตเศรษฐกิจเมืองท่าทางบกระหว่างประเทศ 1 แห่ง เส้นทางสัญจรโลจิสติกส์ที่สำคัญ 9 สายใหญ่ที่เชื่อมต่อทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ จุดข้อต่อโลจิสติกส์เชิงยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ 5 จุด และศูนย์ข้อมูลโลจิสติกส์สำหรับเมืองท่าทางบกระหว่างประเทศ 1 แห่ง
เขตเศรษฐกิจเมืองท่าทางบกระหว่างประเทศจะประกอบไปด้วย
1. เขตโลจิสติกส์นครคุนหมิง 5 แห่ง ได้แก่ เขตโลจิสติกส์จิ้นหนิง (晋宁东南亚国际陆港) เขตโลจิสติกส์หวังเจียหยิง (王家营铁路集装箱陆港基地) เขตโลจิสติกส์สนามบิน (国际空港物流基地) เขตโลจิสติกส์ซงหมิง(嵩明物流陆港基地) และเขตโลจิสติกส์อานหนิง (安宁南亚国际陆港)
2. ศูนย์จัดส่งสินค้า 14 แห่ง เช่น ศูนย์โลจิสติกส์ศูนย์การค้านานาชาติหลัวซือวาน ศูนย์โลจิสติกส์สินค้าเกษตรเขตผานหลง และศูนย์โลจิสติกส์การค้าดอกไม้นานาชาติโต่วหนาน ศูนย์จัดส่งสินค้าใบยาสูบ ศูนย์จัดส่งวัสดุเหล็กกล้า และศูนย์จัดส่งใบชา รวมถึงคลังสินค้าและห้องแช่แข็งต่าง ๆ เช่น คลังสินค้าอาหาร ยางพารา ห้องเย็น เวชภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
เขตโลจิสติกส์ทั้ง 5 แห่ง ตั้งอยู่ในแนวเส้นทางคมนาคมหลัก 2 แนว คือ
      
1. แนวเส้นทางเหนือ-ใต้ ได้แก่
เขตโลจิสติกส์จิ้นหนิง มีจุดเด่นที่เชื่อมการขนส่งสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผ่านเมืองยวี่ซี เพื่อเชื่อมเส้นทางรถไฟและทางด่วนสู่ลาวและเวียดนาม คือ เส้นทางคุนหมิง-บ่อหาน เชื่อมกับลาว และเส้นทางคุนหมิง-เหอโข่ว เชื่อมกับเวียดนามพื้นที่โครงการแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ (1) international land port พื้นที่ประมาณ 2,000 หมู่ (ประมาณ 830 ไร่) ปัจจุบัน การก่อสร้างระยะที่ 1 (คลังสินค้า 12 อาคาร) เสร็จเรียบร้อยแล้ว และแผนการก่อสร้างระยะที่ 2 ประกอบด้วย การปรับพื้นที่เป็นลานตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 100,000 ตร.ม. สามารถรองรับการขนส่งประมาณ 16 ล้านตัน/ปี และ (2) ศูนย์การค้านานาชาติ พื้นที่ประมาณ 1,500 หมู่ (ประมาณ 670 ไร่) จะเริ่มก่อสร้างในปี 2556
เขตโลจิสติกส์จิ้นหนิงเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมเถิงจวิ้น ซึ่งเป็นศูนย์โลจิสติกส์ระหว่างประเทศครบวงจร รองรับการขนส่งสินค้าระหว่างจีนตะวันตกกับอาเซียนบนเส้นทางR3A และระบบการขนส่งทางรางแพนเอเชียสายกลาง (จีน-ลาว-ไทย) และสายตะวันออก (จีน-เวียดนาม-ไทย) มีขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าทางรางเชื่อมไปสู่มณฑลตอนใน 8 ล้านตัน/ปี ออกสู่ต่างประเทศ 4 ล้านตัน/ปี และการขนส่งทางถนนอีก 8 ล้านตัน/ปี รวม 20 ล้านตัน/ปี
นิคมอุตสาหกรรมเถิงจวิ้นจะนำระบบ E-commerce มาใช้บริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้า ตั้งแต่การสั่งสินค้า และการกระจายสินค้า และจะตั้งพื้นที่คลังสินค้ารองรับการนำเข้า-ส่งออกสินค้า โดยจัดให้มีการตรวจพร้อมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (Single-Window Inspection) และมีการตรวจสอบสินค้าเพียงครั้งเดียว (Single-Stop Inspection) โดยไม่ต้องเปิดตู้คอนเทนเนอร์เพื่อตรวจสอบสินค้าอีกที่ด่านชายแดนจีน-ลาว
เขตโลจิสติกส์หวังเจียหยิงมีที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองใหม่อำเภอเฉิงก้ง และครอบคลุมพื้นที่ Kunming Economic and Technological Development Zone หวังเจียหยิงเป็นเครือข่าย Railway Container Center Station 1 ใน 18 แห่งของจีนและเป็นชุมทางรถไฟแห่งเดียวของยูนนานที่เชื่อมการขนส่งกับ “เส้นทางรถไฟภายในประเทศของยูนนาน 8 สาย และเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศ 4 สาย”ซึ่งเชื่อมต่อเครือข่ายระบบขนส่งทางรางภายในประเทศ 8 สายเชื่อมไปยังเซี่ยงไฮ้ ทิเบต เสฉวน ฉงชิ่ง กว่างซี และระหว่างประเทศ 4 สายที่เชื่อมไปเวียดนาม ลาว เมียนมาร์ และเมียนมาร์-บังกลาเทศ-อินเดีย จะทำให้สามารถขนส่งสินค้าสู่มณฑลตอนในของจีน และไปต่างประเทศ ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นเขตโลจิสติสก์หวังเจียหยิงได้พัฒนาฐานรองรับด้านโลจิสติกส์ทันสมัย มีจุดขนถ่ายสินค้า พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงอุปกรณ์การขนถ่ายสินค้าที่ทันสมัย และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ คลังสินค้า ห้องเย็น ศูนย์โลจิสติกส์ตู้คอนเทนเนอร์ระบบราง และจุดตรวจสินค้าและภาษี ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการนำเข้า-ส่งออก และการกระจายสินค้าที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ ที่มาสู่มณฑลยูนนาน ไปยังมณฑลตอนในของจีนโดยระบบขนส่งทางราง ในขณะนี้อยู่ระหว่างการเริ่มพัฒนาโครงการระยะที่ 2
เขตโลจิสติกส์สนามบินฉางสุ่ย สนามบินฉางสุ่ยเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่ใหญ่อันดับ 4 ของจีน รองจากสนามบินกรุงปักกิ่ง สนามบินผู่ตงนครเซี่ยงไฮ้และสนามบินไป๋หยุนนครกว่างโจวถูกออกแบบเพื่อรองรับผู้โดยสารถึง 38 ล้านคนภายในปี 2563และรองรับสินค้าและพัสดุภัณฑ์ราว 1 ล้านตัน (เฟส 2 จะรองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 60 ล้านคน)
เขตโลจิสติกส์ซงหมิง เป็นเขตสินค้าทัณฑ์บนที่ตั้งอยู่ในอำเภอเดียวกันกับสนามบินฉางสุ่ย และสามารถขยายไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนานผ่านเมืองจาวทง เพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคตได้และสามารถเชื่อมสู่มณฑลเสฉวน ฉงชิ่ง และปักกิ่งต่อไป
2. เส้นทางตะวันออก-ตะวันตกได้แก่เขตโลจิสติกส์อานหนิง – เอเชียใต้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของคุนหมิง ครอบคลุมพื้นที่เมืองอานหนิง เขตซีซาน และKunming High-tech Industrial Development Zoneคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จปี 2559 สามารถเชื่อมโยงทางทิศตะวันตกไปเมืองฉู่สงเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟแพนเอเชียสายตะวันตก (คุนหมิง-ฉู่สง-รุ่ยลี่-เมียนมาร์) และไปทิศตะวันออกผ่านคุนหมิงสู่เมืองฉวี่จิ้ง เชื่อมต่อกับทางด่วนหังโจว-รุ่ยลี่ และรถไฟความเร็วสูงคุนหมิง-เซี่ยงไฮ้ที่เชื่อมกับรถไฟความเร็วสูงไปสู่กว่างโจวคาดเสร็จราวปี 2558 เขตโลจิสติกส์อานหนิงเป็นเส้นทางผ่านของท่อขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจีน-เมียนมาร์ ซึ่งลากจากเมืองเจียวเพียวผ่านมัณฑเลย์เข้าจีนยูนนานที่เมืองรุ่ยลี่เขตปกครองตนเองเต๋อหง ผ่านอานหนิงเข้าคุนหมิง โดยท่อน้ำมันซึ่งมีกำลังขนส่งปีละ22 ล้านตันจะแยกไปเมืองอานซุ่น มณฑลกุ้ยโจว เข้าสู่ฉงชิ่ง (ปัจจุบัน มีความคืบหน้าร้อยละ 94 คาดเปิดอย่างเป็นทางการปลายปี 2556) ในขณะที่ท่อก๊าซธรรมชาติกำลังขนส่งปีละ 12,000 ล้านลบ.ม. จะไปจบที่เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง (เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2556) ทั้งนี้ รัฐบาลคุนหมิงได้ก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันที่มีขีดความสามารถกลั่นน้ำมันได้10 ล้านตัน/ปี รองรับท่อขนส่งน้ำมันจีน-เมียนมาร์ด้วย
โอกาสและช่องทางกระจายสินค้าไทย
ภายใต้ “แผนพัฒนาโลจิสติกส์ทันสมัยแห่งนครคุนหมิง” กับยุทธศาสตร์เขตโลจิสติกส์ทั้ง 5 แห่ง เพื่อรองรับการพัฒนาโครงข่ายเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อมณฑลยูนนาน กับจุดศูนย์กลางสำคัญอื่น ๆ ทางมณฑล 2 ฝั่ง ส่งผลให้นครคุนหมิงมีบทบาทสำคัญในการเป็นฐานกระจายสินค้าจากเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทย และเอเชียใต้ สู่จีนตอนใน โดยเฉพาะจีนภาคตะวันตก[1] ซึ่งมีประชากรราว 500 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 37 ของประชากรจีน และมีมูลค่าผลผลิตมวลรวม (GDP)ในปี 2555 11.4ล้านล้านหยวน คิดเป็นร้อยละ 22 ของ GDP ของจีนขยายตัวจากปี 2554 มากกว่าร้อยละ 14 และนโยบายมุ่งลงใต้และพัฒนาภาคตะวันตกรอบใหม่ส่งผลให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยในครึ่งแรกปี 2556 GDP มณฑลกุ้ยโจว และยูนนานขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.5 และ 12.4 เป็นอันดับ 1 และ 2 ของจีนตามลำดับ ขณะที่ปี 2555 เศรษฐกิจจีนโดยรวมเติบโตที่อัตราร้อยละ 7.8 จึงเป็นตลาดที่ใหญ่ และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง อีกทั้งการแข่งขันน้อยกว่าภาคตะวันออกของจีน จึงเป็นโอกาสสำหรับไทยในการเข้ามาใช้ประโยชน์จากเครือข่ายเชื่อมโยงทางคมนาคมและฐานโลจิสติกส์ที่เตรียมพร้อมรองรับการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีนในอนาคตอันใกล้
การพัฒนาเขตโลจิสติกส์ 5 แห่งในนครคุนหมิง จะเป็นฐานสำคัญสำหรับการกระจายสินค้าไทยที่เข้ามายังมณฑลยูนนานไปยังตลาดมณฑลตะวันตกของจีน ในปัจจุบัน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมมือกับนิคมอุตสาหกรรมเถิงจวิ้นจะจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าไทยในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งจะสามารถรองรับการขนส่งสินค้าบนเส้นทาง R3A และการเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 และการอำนวยความสะดวกการขนส่งคนและสินค้าข้ามพรมแดนไทย-ลาว-จีน เพื่อส่งสินค้าไทยเข้ามายังศูนย์กระจายสินค้าดังกล่าว ซึ่งสินค้าไทยจะผ่านกระบวนการตรวจพร้อมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (Single-Window Inspection) ณ จุดดังกล่าว และในโครงการการลงทุนศูนย์โลจิสติกส์ที่นิคมอุตสาหกรรมเชียงของเพื่ออำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าไทยทาง R3A ได้อย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง