
มีผู้กล่าวอย่างดูแคลนต่อประเด็นการตั้งต้นศึกษาประวัติศาสตร์ของขนชาติไทยเอาไว้มากมาย ทั้งนี้เข้าใจว่าคงเป็นเจตนาเพื่อให้ชนเผ่าไทยทั้งหลายได้เข้าใจถึงประวัติศาสตร์ของชาติพันธุ์ของตนเองให้ถูกต้อง และตั้งต้นได้อย่างมั่นคงก่อนที่จะนับถือศาสนาอะไร ลัทธิใดก็ตาม หากไม่เข้าใจที่มาหรือประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง หรือตัดตอนเพียงบางช่วงเอามา ก็ย่อมทำให้บุคคลนั้นเกิดความไขว้เขวได้โดยง่าย ตัวอย่างเช่น
(อาจารย์) น. ณ ปากน้ำ กล่าวว่า ทุกวันนี้เราเรียนประวัติศาสตร์ของสยามประเทศก็มักจะถือเอาหลักศิลาจารึกสุโขทัยกับพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเป็นหลัก ด้วยผู้วางหลักสูตรการศึกษาในสมัยก่อนหน้านี้เข้าใจแต่เพียงว่านั่นคือเรื่องราวของขาวสยาม โดยเริ่มต้นขีดเส้นกันที่ตรงนั้น และยึดเอาแต่เพียงว่ากรุงสุโขทัยกับกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางของสยามประเทศ แต่ถ้าหากเราได้ศึกษาถึงบ้านเมืองที่อยู่แวดล้อมแล้ว เราจะเข้าใจถึงความจริงโดยแท้ว่า อยุธยามิใช่ศูนย์กลางของราชอาณาจักรของชนเผ่าไทยแต่เพียงแห่งเดียว แท้จริงแล้วนั้นได้มีอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่สำคัญพอๆ กับกรุงศรีอยุธยาอยู่ทุกทิศทุกทาง
จิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งได้ทำการค้นคว้าศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชนชาติไท (ใน “ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ” ) ก็ศึกษาถึงการก่อตัวขึ้นมาของประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์หลังยุคอาณานิคม โดยจิตรได้ไปสืบค้นคำเรียกที่มีชื่อชนชาติว่า “สยาม” โดยตั้งสมมุติฐานอยู่ก่อนแล้วว่า มีกลุ่มชนเผ่าใดบ้างที่พูดภาษาในตระกูลไท – ไต ซึ่งสอดคล้องและมีระเบียบแบบแผนเหมือนคนไทย (สยาม) และสืนค้นย้อนไปว่ามีชนใดอยู่บ้าง และก็พบว่า มีอยู่ทั่วไปทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แต่ยิ่งหากใครได้ตั้งประเด็นสมมุติฐานการศึกษาเสียใหม่ และศึกษาค้นคว้าลึกลงไปถึงเรื่องการเข้ามาของศาสนาหรือการเผยแพร่ศาสนาโดยชนเผ่าอื่นๆที่เข้ามาในคาบสมุทรสุวรรณภูมิด้วยแล้ว เราก็จะเห็นได้ถึงความเล็กกระจ้อยร่อยของเมืองหลวงของชนเผ่าไทยเหล่านั้น ในระหว่างที่ผู้เขียนได้ศึกษาถึงเรื่อง “ประวัติศาสตร์ของโบราณสถานโมคลาน” (....คลิก) ซึ่งเป็นเมืองเก่าทางโบราณคดีก่อนที่จะเกิดมีเมืองนครศรีธรรมราชเกิดขึ้นนั้น ได้ตั้งข้อสังเกตบางประการ และเมื่อได้สืบค้นหาหลักฐานข้อมูลจากตำราหลายเล่มแล้วก็พบเรื่องราวที่น่าสนใจ ควรค่าแก่การศึกษาทั้งคนรุ่นปัจจุบันและคนรุ่นต่อๆ ไปจากรุ่นเรา โดยเฉพาะการนับถือศาสนาต่างๆ ของคนไทยซึ่งล้วนได้รับอิทธิพลมาจากต่างแดนทั้งสิ้น มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในถิ่นดินแดนแหลมทองแห่งนี้เท่านั้น
ผู้เขียนเชื่อว่า ด้วยวิธีการศึกษา (methodology) แบบที่กล่าวถึงนี้ อาจจะทำให้เรามองเห็นรากเหง้าของชนเผ่าต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งชนเผ่าไทยเราเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

๑. ถูกบีบคั้นหรือถูกรุกราน
๒. เพื่อเผยแผ่ศาสนา
๓. เพื่อทำการค้า
๔. เพื่อเสี่ยงโชค และด้านการเมือง
ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี อธิบายว่า ประการแรก เนื่องจากในประเทศอินเดียแต่เดิมมีอยู่หลายเผ่าหลายศานาและลัทธิ ชาวอินเดียใต้มักถูกรังแกจากอินเดียเหนือ คือพวกอารยัน จึงไม่สะดวกในการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของตนเอง แต่ก็ตั้งข้อสังเกตว่า พุทธศาสนานั้น ยังไม่เคยปรากฎว่ามีการถูกบีบบังคับรังแกในยุคนั้น
ประการที่สอง พระพุทธศาสนา และแม้แต่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศาสดาก็ใช้วิธีการเผยแพร่ความเชื่อของตนให้แก่ผู้ที่ยังไม่สามารถค้นพบนิพพาน นอกจากนี้การเผยของพุทธศาสนาเพื่อให้ผู้คนปฏิบัติบรรลุขั้นธรรมนั้น ไม่มีการเลือกเชื้อชาติ ชั้นวรรณะ ซึ่งศาสนาพราหมณ์ไม่สนับสนุนในเรื่องนี้
ประการที่สาม เมื่อการต่อเรือสำเภาเริ่มเป็นที่นิยมและมีการถ่ายทอดต่อๆ กันมากขึ้น จึงทำให้เกิดการแสวงหาโอกาสร่ำรวยด้วยการค้าขาย ดังนั้นเมื่อมีการติดต่อค้าขายย่อมมีการถ่ายทอดวัฒนธรรมที่สูงกว่านั้นไปพร้อมกันด้วย เป็นที่รู้กันว่าวัฒนธรรมอินเดียมีมาช้านานและสูงกว่าชนเผ่าต่างๆ ในย่านเดียวกันนี้
ส่วนประการที่สี่คงไม่แตกต่างจากประการที่สาม แต่เหตุผลด้านการเมืองโดยใช้อุบายของการเผยแพร่ศาสนาก็น่าจะมีน้ำหนัก ดังเช่นที่เราเห็นจากวิธีการเผยแพร่ของพวกมิชชั่นนารี เป็นต้น ทั้งนี้คงไม่เช่นเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง แต่ก็เป็นไปได้ทั้งสี่ประการนั้นเลยเดียว นอกเสียจากว่า ด้วยความเจริญรุ่งเรืองสุดขีดของศิลปวัฒนธรรมอินเดียในสมัยคุปตะ (พุทธศตวรรษที่ ๙ – ๑๑) และหลังสมัยคุปตะ (พุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๓) ซึ่งเป็นช่วงที่ที่มีการเผยแพร่ศาสนาสและศิลปะของอินเดียออกไปสู่ภายนอกอย่างมากมายทั้งทางบกและทางน้ำ (- ผู้เขียน)
เราสามารถพบหลักฐานได้จากงานก่อสร้างซึ่งเป็นศิลปะที่เกี่ยวข้องตามความเชื่อทางศาสนา โดยเริ่มตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๙ – ๑๐ ซึ่งศิลปะอินเดียได้เริ่มเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซากโบราณสถานและโบราณวัตถุต่างๆ เหล่านี้ ได้แก่ ซากโบสถ์ฮินดูและเทวรูปที่บริเวณสุไหงบาตู เชิงเขารัฐเคดาร์ (ไทรบุรี) และซากพุทธสถูปสร้างด้วยอิฐใกล้ๆ กับรัฐเคดาร์ พบจารึกโบสถ์พุทธศาสนาในบริเวณแหลมมลายู ซากสถูปและพระพุทธรูปที่ตะกั่วป่า และบริเวณอ่าวบ้านดอน ไชยา เวียงสระ หลักฐานเหล่านี้จึงเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าชาวฮินดูเข้ามาตั้งรกรากอยู่ประมาณ พุทธศตวรรษที่ ๙ – ๑๐ โดยที่พบจารึกเป็นภาษาสันสกฤต (ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี, อ้างแล้ว)

ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล กล่าวว่า อาณาจักรสมัยโบราณในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับอิทธิพลของศิลปะอินเดียมาทางน้ำ หรือมาตามเส้นทางการเดินเรือ โดยเริ่มมีหลักฐานปรากฏขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๗ จนกระทั่งในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ บรรดาอาณาจักรเหล่านี้ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้น และจากหลักฐานบันทึกของพระภิกษุจีนที่เดินทางไปสืบพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดียและเดินทางผ่านคาบสมุทรนี้ อาณาจักรที่กล่าวนี้ ได้แก่ อาณาจักรจามปาของชนชาติจาม (เวียดนาม) อาณาจักรฟูนันและกัมพูชา อาณาจักรทวารวดีในตอนกลางของประเทศไทย อาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) อาณาจักรศรีวิชัยบนเกาะสุมาตรา อาณาจักรของราชวงศ์ไศเลนทร์บนเกาะชวา และอาณาจักรศรีเกษตรของชนชาติปยูหรือพยุ (พม่า) จนบรรดาอาณาจักรเหล่านี้ได้เจริญรุ่งเรืองและศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ได้กลายมาเป็นอัตลักษณ์ของตนเอง
ชนชาติต่างในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับเอาทั้งศาสนา ศิลปะ ภาษา วัฒนธรรม ประเพณีเข้ามามีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตตนเอง โดยในราวพุทธศตวรรษที่ ๗ – ๘ เป็นสมัยแรกที่มีกรเผยแพร่ของศิลปะอินเดียมาทางน้ำ ซึ่งพบได้จากการค้นพบพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ครองจีวรห่มเฉียง ซึ่งคล้ายกับพระพุทธรูปอินเดียในแคว้นอมราวดีและในเกาะลังกา จนพระพุทธรูปเหล่านี้ถูกค้นพบในคาบสมุทรอินโดจีนและเกาะในประเทศอินโดนีเซีย ตามแถบชุมชนใกล้ชายฝั่งทะเล

ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี (อ้างแล้ว) ระบุถึงเส้นทางติดต่อระหว่างอินเดียกับสุวรรณภูมิว่าคนอินเดียส่วนมากที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งในบริเวณสุวรรณภูมินั้น เดินทางมาจากตอนใต้และมีครอบครัวกันใหม่อีกครั้งในแผ่นดินผืนใหม่นี้ และเชื่อกันว่าในบริเวณตอนใต้ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้มาตั้งอยู่ก่อนแล้ว และนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เดินทางมาทางทะเลในสมัยพระเจ้าอโศกครองราชย์ได้ ๘ ปี แล้วได้ยาตราทัพลงไปปราบชนเผ่าแคว้นกาลิงคะ ถูกจับเป็นเชลย ๑๕๐,๐๐๐ คน และส่วนใหญ่ลงเรือหนีมายังสุวรรณภูมิและเลยไปเกาะชวาก็มี โดยเส้นทางสำคัญมี ๓ สายคือ
๑. ทางบก ผ่านมาทางคาบสมุทรเบงกอล (บังคลาเทศ) แคว้นอัสสัม ข้ามเทือกเขาปาดไก่ (ใกล้กับรัฐฉานของพม่า – ผู้เขียน) เข้าสู่ตอนเหนือของพม่า และต่อมายังประเทศไทย
๑. ทางบก ผ่านมาทางคาบสมุทรเบงกอล (บังคลาเทศ) แคว้นอัสสัม ข้ามเทือกเขาปาดไก่ (ใกล้กับรัฐฉานของพม่า – ผู้เขียน) เข้าสู่ตอนเหนือของพม่า และต่อมายังประเทศไทย
๒. ทางเรือ ข้ามอ่าวเบงกอลมาขึ้นที่อ่าวเมาะตะมะ ท่ามะริด ทวาย ตะนาวศรี แล้วจึงเดินบกสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างบริเวณ นครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง ราชบุรี
๓. ทางเรือ ข้ามมหาสมุทรอินเดียเข้าช่องแคบมะละกา ขึ้นบกที่แหลมมลายู หรืออ้อมแหลมไปยังกัมพูชา และจัมปา จีน
สำหรับเส้นทาง ๒ สายแรกนั้นมีเส้นทางแยกไปอีกคือ ขึ้นที่ตักโกละ (ตะกั่วป่า) บ้าง ที่ตรังบ้าง ตรงมายังสุวรรณภูมิก็มี บางรายไปอ่าวบ้านดอนต่อไปยังฟูนันก็มี บางรายออกจากจังหวัดตรังไปยังนครศรีธรรมราช สรุปว่ามีชาวอินเดียมาตั้งหลักแหล่งเริ่มตั้งแต่จังหวัดนครปฐม ราชบุรี ลงไปจนสุดแหลมมลายู ส่วนเส้นทางสายที่ ๓ เป็นที่นิยมกันมากมาแต่ครั้งโบราณแล้ว ชาวอินเดียที่ไปตั้งอาณานิคมอยู่ทางตะวันออก เช่น ชวา มลายู และจาม เป็นต้น
๓. ทางเรือ ข้ามมหาสมุทรอินเดียเข้าช่องแคบมะละกา ขึ้นบกที่แหลมมลายู หรืออ้อมแหลมไปยังกัมพูชา และจัมปา จีน
สำหรับเส้นทาง ๒ สายแรกนั้นมีเส้นทางแยกไปอีกคือ ขึ้นที่ตักโกละ (ตะกั่วป่า) บ้าง ที่ตรังบ้าง ตรงมายังสุวรรณภูมิก็มี บางรายไปอ่าวบ้านดอนต่อไปยังฟูนันก็มี บางรายออกจากจังหวัดตรังไปยังนครศรีธรรมราช สรุปว่ามีชาวอินเดียมาตั้งหลักแหล่งเริ่มตั้งแต่จังหวัดนครปฐม ราชบุรี ลงไปจนสุดแหลมมลายู ส่วนเส้นทางสายที่ ๓ เป็นที่นิยมกันมากมาแต่ครั้งโบราณแล้ว ชาวอินเดียที่ไปตั้งอาณานิคมอยู่ทางตะวันออก เช่น ชวา มลายู และจาม เป็นต้น
เหตุไม่นิยมเดินทางบก เพราะมีอันตรายขนส่งสินค้าลำบากเมื่อทำการค้า อีกทั้งชาวอินเดียมีความรู้ทางทะเลและฤดูมรสุมจึงสามารถใช้ประโยชน์จากแรงลมในการเดินเรือได้เป็นอย่างดี และเมื่อพระเถระทั้งสองรูปได้แก่ พระโสนะ พระอุตตระ ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชส่งมาประกาศเผนแผ่พระพุทธศาสนา จึงเป็นไปด้วยความสะดวก เพราะมีคนอินเดียมาตั้งหลักแหล่งอยู่กันก่อนแล้ว และใช้ภาษาเดียวกัน หรือมีล่ามชาวอินเดียช่วยเหลืออีกทีหนึ่ง
การเดินทางส่วนใหญ่คงใช้ทางน้ำ (ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล เรียกวิธีนี้ว่า การเผยแพร่อิทธิพลของศิลปะอินเดียทางน้ำ) แม้ท่านฟาเหียน พระภิกษุชาวจีน ได้ออกเดินทางจากเมืองเชียงอัน ผ่านตอนกลางประเทศจีนลงสู่แคว้นแคชเมียร์ แคว้นคันธาระ เที่ยวศึกษาอยู่ในอินเดียแล้วเลยไปลังกา และจากลังกาก็กลับเมืองจีน โดยผ่านอ่าวเบงกอลไปยังหมู่เกาะชวาแล้วจึงเดินทางต่อไปเมืองจีน โดยใช้เวลาเดินทางยาวนานถึง ๑๕ ปี และต่อมาพระภิกษุจีน ชื่อ ท่านอี้จิง ก็ยังอาศัยการเดินทางเรือเส้นทางนี้เช่นเดียวกัน
การเดินทางส่วนใหญ่คงใช้ทางน้ำ (ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล เรียกวิธีนี้ว่า การเผยแพร่อิทธิพลของศิลปะอินเดียทางน้ำ) แม้ท่านฟาเหียน พระภิกษุชาวจีน ได้ออกเดินทางจากเมืองเชียงอัน ผ่านตอนกลางประเทศจีนลงสู่แคว้นแคชเมียร์ แคว้นคันธาระ เที่ยวศึกษาอยู่ในอินเดียแล้วเลยไปลังกา และจากลังกาก็กลับเมืองจีน โดยผ่านอ่าวเบงกอลไปยังหมู่เกาะชวาแล้วจึงเดินทางต่อไปเมืองจีน โดยใช้เวลาเดินทางยาวนานถึง ๑๕ ปี และต่อมาพระภิกษุจีน ชื่อ ท่านอี้จิง ก็ยังอาศัยการเดินทางเรือเส้นทางนี้เช่นเดียวกัน
จากข้อมูลและหลักฐานดังกล่าวจึงสรุปได้ว่า การเดินทางของชาวอินเดียเข้ามาในคาบสมุทรอินโดจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีได้หลายวัตถุประสงค์ แต่การเดินทางมานั้นยังได้นำเอาศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมซึ่งเจริญสูงกว่า โดยเฉพาะในเรื่องคุณธรรม การขัดเกลาจิตใจให้เป็นจิตที่บริสุทธิ์ บรรลุหลุดพ้นจากภัยที่ถูกครอบงำทางจิตใจด้วยความเชื่อที่แตกต่างกันออกไปนั้นถูกนำมาเผยแพร่ให้แก่ชนเผ่าต่างๆ ในบริเวณนี้ด้วย ก่อนที่จะถูกปลูกฝังและศรัทธานับถือสืบต่อกันมาอีกร่วม ๒,๐๐๐ ปี
และมีหลักฐานปรากฏอยู่ในหลักศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ ที่ระบุชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยได้นำเอาพุทธศาสนาไปจากเมืองนครศรีธรรมราช ดังที่ปรากฏในศิลาจารึกสุโขทัยว่า “พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่มหาเถร สังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร หลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราชมา” แปลความได้ว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาเป็นอย่างดี ทรงนิมนต์พระสังฆราชจากเมืองนครศรีธรรมราชมาเผยแผ่พระธรรมวินัยแก่ชาวสุโขทัยในสมัยนั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จะเชื่อกันว่า ศาสนาพุทธเข้ามาสู่ประเทศไทยได้หลายทาง แต่เส้นทางที่สำคัญในระยะเวลาต่อมาคือเส้นทางที่ไปจากเมืองนครศรีธรรมราช
..........................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น