วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

ม็อบบ้านเตาปูน ล้วงลึกก่อนการสลายฯ ..ก่อนนักข่าวสำนักใดๆ


 (สี่แยกอำเภอร่อนพิบูลย์ดูคึกคักเพราะรถยนต์ต้องเลี่ยงเข้ามาใช้เส้นทางสำรอง)
 
(สี่แยกสวนผัก กับด่านสกัดของนาย)

รัฐบาลเจรจาแก้ไขม็อบสวนยางที่แล้วมาไม่สะเด็ดน้ำ หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายจะเข้าแทรกแซงรับซื้อยางพาราในราคากิโลกรัมละ 90 บาท และจะชดเชยด้านปัจจัยการผลิต ไร่ละ 2,520 บาท รายละไม่เกิน 25 ไร่ โดยเกษตรกรต้องมีเอกสารสิทธิ์การถือครองที่ดินถูกต้อง และต้นยางต้องเปิดหน้ายาง (กรีดแล้ว) และต้นยางนั้นต้องมีอายุไม่เกิน 25 ปี
ผลปรากฏว่า เกษตรกรเริ่มกลับมาบวกลบคูณหารกันดูอีกทีก็พบว่า เหมือนถูกรัฐบาลหลอก เพราะรายได้ที่ได้รับการชดเชยและแทรกแซงราคายางนั้นแทบไม่ได้ส่งผลต่อการยกระดับรายได้ให้สูงขึ้นเมื่อเทียบกับราคาสินค้าของข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือนที่สูงขึ้น

(เขาชุมทอง และใกล้กันนี้คือ ชุมทางรถไฟเขาชุมทอง)

ประกอบกับเมื่อวานนี้ (14 กันยายน) ได้มีตัวแทนของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางและ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ในฐานะตัวแทนของรัฐบาลพร้อมคณะ เพื่อลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างคณะกรรมการแก้ไขปัญหายางพารากับภาคีเครือ ข่ายเกษตรกรสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน 16 จังหวัดใต้ และองค์กรภาคีเครือข่ายเกษตรกรสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน 16 จังหวัดใต้ โดยมีเกษตรกรเครือข่ายชาวสวนยางที่เดินทางมาจาก 16 จังหวัด เข้าร่วมเป็นสักขีพยานไม่ต่ำกว่า 100 คน ที่ศาลา 100 ปี วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช  ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการประชุมหารือร่วมกัน เมื่อวันที่ 6 กันยายน ที่โรงแรมทวินโลตัส จ.นครศรีธรรมราช
ซึ่งได้มีกลุ่มเกษตรกรบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการลงนาม โดยอ้างเหตุผลว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจ การแก้ปัญหาของรัฐบาลนั้นเป็นการแก้ปัญหา ทำให้มีตัวแทนของเกษตรกรบางส่วนเท่านั้นที่ลงนามร่วมกับตัวแทนฝ่ายรัฐบาล
ต่อมาได้มีกลุ่มชาวสวนยางบางส่วนเดินทางกลับและเริ่มปิดถนนในเขตท้องที่บ้านเตาปูน อ.จุฬาภรณ์ รวมทั้งที่สี่แยกบ้านควนหนองหงษ์  ต.ควนหนองหงษ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช โดยเฉพาะกรณีที่บ้านเตาปูนได้มีชาวบ้านรวมตัวประมาณ 8 - 10 คนเพื่อดักรอรถบรรทุกขนาดใหญ่ให้จอดแล้วนำมาขวางปิดถนนทั้งฝั่งขาขึ้นและขาล่อง นอกจากนี้ยังมีการนำยางรถยนต์มาจุดไฟเผากลางถนน ตัดต้นไม้มาวางขวางถนน และมีการตั้งเวทีปราศรัยขึ้นด้วย


เรา (จขบ.)ได้รับทราบข่าวดังกล่าวตั้งแต่เริ่มมีการลงนามในข้อตกลงนั้นแต่ไม่ประสบความสำเร็จ และเริ่มมีการปิดถนนสาย 41 (ถนนเพชรเกษม) ช่วงเลยสี่แยกสวนผักลงไปทางพัทลุง หรือช่วงเลยแยกไปบ้านเขาชุมทองประมาณ 10 กิโลเมตร ทำให้การเดินทางในช่วงนั้นเป็นอัมพาตตั้งแต่เวลาประมาณ 18.00 น. ของเมื่อวานนี้
รุ่งเช้าเรายังคงติดตามสถานการณ์  โดยทราบว่าผู้ชุมนุมยังคงปักหลักปิดถนน เราจึงได้เดินทางไปค้นหาข้อมูลในฐานะ “นักข่าวพลเมือง”  โดยเราไปถึงที่จุดที่มีการชุมนุมบ้านเตาปูน อ.จุฬาภรณ์ ในเวลา 10.00 น. การเดินทางเมื่อถึงสี่แยกสวนผัก อ.ร่อนพิบูลย์ ก็พบด่านตรวจของตำรวจอย่างแน่นหนา ตรวจตราสแกนรถราทุกคันที่จะผ่านเส้นทางนั้นลงไปทาง จ.พัทลุง เมื่อเราบอกว่ามีธุระจะต้องใช้เส้นทางนี้เพื่อกลับไปเยี่ยมญาติที่ อ.หาดใหญ่ แต่ตำรวจยศนายพันคนหนึ่งก็แจ้งให้ไปใช้เส้นทางเลี่ยงและอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นหากเดินทางไปข้างหน้า เนื่องจากตั้งแต่เมื่อคืนได้มีการยึดรถบรรทุกไปปิดขวางเส้นทาง
เรารู้สึกว่าต้องยอมจำนนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตรงนั้นเสียแล้ว จึงตอบกลับไปว่า “ครับๆ...”  แต่หารู้ไม่ว่า เราคือผู้ที่มีหน้าที่เป็น “นักข่าวพลเมือง” ที่จะเข้าไปสำรวจตรวจสอบและข้อเท็จจริงมาสู่โลกภายนอก ซึ่งที่ผ่านมาแทบไม่มีนักข่าวผู้ใดที่นำข้อมูลมานำเสนอได้ทุกแง่มุม  หรืออาจเป็นเพราะตำรวจปิดถนนเสียเอง จึงเท่ากับทำให้ไม่มีข้อเท็จจริงเหล่านั้นออกมาสู่โลกภายนอก
เราบอกแก่ตำรวจนายนั้นว่า “ประเดี๋ยวเราจะไปเลี้ยวรถกลับข้างหน้า”  ในขณะที่รถที่ต่อท้ายรถเรานั้นเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย และมีบางคันที่เลี้ยวย้อนหลังกลับไป แต่เราตัดสินใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่า จะเดินหน้าไปหาม็อบเท่านั้น


เมื่อเดินทางมุ่งไปข้างหน้าตามสายเอเชีย (41) ก็พบกับความผิกปกติที่มีแต่เพียงความเงียบเหงาบนท้องถนน จนถึงทางบรรจบกับสาย 4013 ที่มาจากบ้านเขาชุมทอง (หรือ สถานีรถไฟเขาชุมทอง) ก็พบว่ามีการตัดกิ่งไม้มาสุมไว้ที่กลางถนน และเมื่อผ่านทางลึกเข้าไปอีกกพบว่ามีร่องรอยการเผายางรถยนต์ที่กลางถนนเป็นระยะๆ และมีกองกิ่งไม้สุมอยู่กลางถนนอีกจุดหนึ่ง และมีรถบรรทุก 18 ล้อจอดขวางทางอยู่
เราจอดรถเข้าไปในร้านค้าริมทาง มีชาวบ้านจับกลุ่มนั่งพุดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่ เราเข้าไปแนะนำตัวเองและก็ฟังดูพวกเขาพูดคุยกัน แล้วก็พูดเสริมข้อมูลเพื่อบ่งบอกว่า เราเป็นพวกเดียวกัน (เห็นถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง)
เราถามถึงว่า ที่ตรงนี้ใครเป็นแกนนำ ชาวบ้านก็บอกเราไม่ชัดว่าใคร ซึ่งเรารู้มาก่อนแล้วว่า การชุมนุมปิดประท้วงคราวนี้พวกเขาไม่มีผู้นำอย่างคราวก่อน (ม็อบควนหนองหงส์ และบ้านตูล)  




ที่ม็อบบ้านเตาปูน เราได้ถามหาคนที่ชื่อ“นายเอียด เส้งเอียด” อดีตขุนโจรชื่อดัง และผู้ประสานงานม็อบยางพาราภาคใต้ที่หายไปจากการปลุกม้อบคราวนี้
 “ทำไมจึงไม่มีแกนนำ... แล้วเอียด เส้งเอียดไปไหน  ทำไมไม่มาร่วมม็อบด้วย?”
ชาวบ้านบอกกับเราว่า นายเอียดได้ไปบวชแก้บน ที่วัดควนเถี้ยะ ต.นางหลง อ.ชะอวด หลังจากภารกิจบรรลุเป้าหมายคือม็อบครั้งที่แล้วยุติลงได้โดยไม่มีความสูญเสีย ซึ่งเป็นเจตนาของเขาที่เคยบอกว่าอยากให้การชุมนุมนั้นเป็นไปอย่างสันติ นายเอียดจึงได้บวชเพื่อถวายแด่ในหลวง (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) ในการบวชนี้ได้มีราชองครักษ์ในพระองค์เป็นผู้ประทานผ้าไตรให้แก่นายเอียด  และมีนายสุชาติ สุวรรณกาศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เป็นประธานพิธีโกนผมนาคให้ 
ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวกับเราอย่างภาคภูมิใจแทน  "พระเอียด"


ที่เพิงร้านค้า เราให้ข้อมูลแก่ชาวบ้านเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันถึงข้อดี-ข้อเสียของการมีแกนนำ “แม้พวกเราจะไม่เชื่อมือแกนนำในชุดที่แล้วมาก็ตาม แต่การทำม็อบมันก็ต้องมีผู้ประสานงาน ติดเจรจากันระหว่างกลุ่มชาวสวนยางในพื้นที่อื่นๆ ด้วย” เรากล่าวประโยคนี้ต่อหน้าทุกๆ คน
ทุกคนอยู่ในอาการนี่ง.....ไม่มีใครกล้าให้ข้อมูลแก่เราเพิ่มเติมอีก เพราะหากพูดไปก็จะเป็นการระบุถึงชื่อแกนนำบางคนในชุดที่แล้วที่ไปลงนามรับข้อตกลงกับรัฐบาล
แต่ชื่อ  “นายเอียด เส้งเอียด” ก็ดูจะรอดตัวไปจากคำครหาว่าเกี่ยวข้องกับนักการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไป เพราะไปอยู่ในสมณเพศเสียก่อนแล้ว


สักพักหนึ่งก็มีชายคนหนึ่งพูดสำเนียงภาษาไทยกลางออกมา เราก็ถามไถ่จึงได้รู้ว่า เขาเป็นคนจังหวัดศรีสะเกษขับรถบรรทุก 18 ล้อคันที่เราเห็นเป็นคันแรกเมื่อเข้ามาในม็อบนี้
“เมื่อเช้านี้เขาเมา.. เราดักให้เขาจอดรถเขาก็คุยไม่รู้เรื่อง จนเราต้องใช้กุญแจมือล็อกแขนไว้ที่พวงมาลัยรถ” คนที่ดูท่าทางเป็นคนเกี่ยวข้องกับม็อบคนหนึ่งบอกกับเรา
“เมาอะไร?” ...เราแกล้งซื่อ เขาก็ตอบว่า “ไอ้นี่มันบอกว่า มันเล่นไป 2 เม็ดก่อนออกรถมา”
“แต่ตอนนี้เขาคุยรู้เรื่องแล้ว เขาดูเหมือนสายของนายส่งเข้ามา แล้วในตู้คอนเทนเนอร์ก็ไม่รู้ว่ามีอะไร เราให้เขาไปกินข้าว กินขนมจีน ที่โรงครัวก็มีหมูต้ม เรา รวน หมูไปสองสามตัวแล้ว” (รวน หมายถึง ล้มหมูเลี้ยงแขก)
เราถามว่า “แล้วขับรถผ่านด่านตรวจที่แยกสวนผักมาได้อย่างไร?”  เขาตอบว่า “เมื่อเช้านี้ยังไม่เห็นมีด่านตรวจอะไรเลย ก็ขับมาเฉยๆ เหมือนที่เคยมา และก็เคยมาหลายหนแล้ว แรกๆ ก็เปิดแผนที่ดูเส้นทาง”  เราเลยบอกไปว่า บุคลิกของนายเหมือนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเกินไป ไม่เหมาะจะมาเป็นคนขับรถ
เรามาทราบอีกทีว่าตอนที่ยึดรถคันนี้ นายคนนี้เขาโมโหแล้วก็ซัดโทรศัพท์มือถือของเขาลงกับพื้นถนนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ และเมื่อเขาติดต่อเจ้านายไม่ได้ก็เดือดร้อนที่เขาต้องหาซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ และก็ได้ซื้อจากร้านค้าแถวๆ นั้น


ในกลุ่มชาวสวนยางที่เรานั่งล้อมวงคุยกันนั้น เขาบอกถึงความเดือดร้อนเพิ่มเติมจากที่ผิดหวังกับนโยบายช่วยเหลือชาวสวนยางที่เพิ่มออกมานั้นอีกว่า
“คือหว่า..ถ้าเขาช่วยเราจริงๆ สัก 80 บาทเราก็อยู่ได้ ถ้าหากว่าราคาสินค้าอื่นมันไม่ได้ขึ้นไปด้วย”  ตรงนี้เองทำให้เราคิดถึงส่วนต่างของรายได้กับรายจ่ายที่มันเริ่มเดินไปกันคนละทิศทาง เมื่อเราถามถึงว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น