วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

ก้าวที่ท้าทายเมืองเชียงใหม่สู่มรดกโลก: Chiang Mai Sacred City ไกลเกินหรือใกล้แค่ปลายจมูก



            เป็นโครงการสัมมนาต่อเนื่องที่จัดเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปีนี้ เพื่อสานต่อและผลักดันเมืองเชียงใหม่ให้เข้าสู่มรดกโลก ภายใต้โครงการ Chiang Mai Sacred City โดยในวันพรุ่งนี้  ( 13 กันยายน 2556 ) เวลา 13.30 น.- 15.30 น.  จะได้มีการจัดสัมมนา ณ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยงานในครั้งนี้จะเป็นการประชุมสัมมนาพระสังฆาธิการจำนวน 130 รูป และจะมี องคมนตรี ศ. นพ.เกษม วัฒนชัย ให้เกียรติมาปาฐถาด้วย
เรื่องเดิมจากการที่คณะวิจิตรศิลป์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ร่วมกับหลายๆ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จัดการประชุมสัมมนาการนำร่องเมืองเชียงใหม่สู่มรดกโลก ไปเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2556 ณ หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งการประชุมสัมมนาในครั้งนั้น เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับมรดกโลกจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก พร้อมด้วย ตัวแทนจากองค์กรยูเนสโก และกรมศิลปากรที่ดูแลรับผิดชอบด้านมรดกโลกโดยตรง  ภายในงานได้มีการแสดงคิดเห็นจากทุกๆ ฝ่ายทั้งจากคนในพื้นที่ที่เคยมีส่วนร่วมผลักดันโครงการนี้ และจากผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่รับผิดชอบดูแลเรื่องโครงการมรดกโลกโดยตรง เพื่อหาแนวทางดำเนินการร่วมกันต่อไปนั้น
หลังจากประชุมสัมมนาในครั้งนั้นก็ได้รับการลงมติเป็นเอกฉันท์จากตัวแทนทุกภาคส่วนของ จ.เชียงใหม่ สนับสนุนให้มีการดำเนินการสานต่อโครงการนี้ ต่อไป จึงได้หารือร่วมกัน ถึงความเป็นไปได้ในช่วงแรกนี้ว่า หากมองจากความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนาในอดีต ที่พญามังรายได้พัฒนาเมืองเชียงใหม่และได้ทรงก่อสร้างวัดวาอารามขึ้นหลายแห่ง โดยมีวัดเชียงมั่นเป็นวัดแรก และยังมีวัดในเขตเมืองเชียงใหม่อีกจำนวนกว่า 120 วัด จึงถือได้ว่า วัดเป็นสถานที่ผูกพันกับวิถีชีวิตกับชาวเชียงใหม่มาตั้งแต่ครั้งโบราณ จวบจนปัจจุบัน แต่ทั้งนี้หากขาดผู้ที่รู้ถึงคุณค่าและความงามของวัดต่างๆ นี้แล้ว สถานที่เหล่านี้ก็คงเสื่อมสูญและหมดความสำคัญไปในที่สุด

ด้วยเหตุนี้ จึงได้กำหนดมีการจัดการประชุมสัมมนาสานต่อในครั้งนี้ขึ้น  โดยทางผู้ดำเนินโครงการ คือคุณอนันต์ ลี้ตระกูล กรรมการสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คุณวัชระ ตันตรานนท์ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับคณะวิจิตรศิลป์ และสำนักงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันพัฒนาเมืองเชียงใหม่สู่มรดกโลก โดยขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรมตามกระบวนการที่ยูเนสโกกำหนดเงื่อนไขไว้  และประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวให้เกิดความเข้าใจตรงกัน มองไปในทิศทางเดียวกัน อันจะช่วยสร้างจิตสำนึกให้ชาวเชียงใหม่เกิดความภาคภูมิใจและตระหนักในคุณค่า ให้เกิดการธำรงเอกลักษณ์ของแต่ละชุมชนให้ประจักษ์แก่ชาวโลก อีกทั้งเพื่อเปิดเวทีรับฟังข้อเสนอแนะ ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากทุกๆ ฝ่าย ทั้งจากคนในพื้นที่ที่เคยมีส่วนร่วมผลักดันโครงการนี้มาก่อน และจากผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่รับผิดชอบดูแลเรื่องโครงการมรดกโลกโดยตรง อันจะเป็นการสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน สร้างเครือข่าย แนวร่วม ในการอนุรักษ์เมืองเก่าเชียงใหม่ ให้เป็นมรดกของท้องถิ่น มรดกของชาติ และมรดกของโลกต่อไป
ในการประชุมครั้งนั้น  ดร.ณรงค์ศักดิ์ บุณยมาลิก รองผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การยูเนสโก ปารีส กล่าวว่า การจะขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกนั้นจะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ทั้งการจัดทำบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) การจัดทำแฟ้มข้อมูลเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกเพื่อทำการตรวจสอบและประเมินคุณค่า ก่อนจะพิจารณาว่าจะขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกหรือไม่
ขณะเดียวกัน สถานที่ที่นำเสนอนั้นจะต้องสอดคล้องกับแนวคิดของการเป็นมรดกโลก กล่าวคือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติที่มีความโดดเด่นเป็นเลิศในระดับสากล ซึ่งการที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูนจะเสนอขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกนั้นจำเป็นจะต้องพิจารณาว่าจะนำเสนอพื้นที่หรือสถานที่ใดที่เห็นว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าว นอกจากนี้ การจะเป็นมรดกโลกได้นั้นยังต้องได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชนหรือในพื้นที่ เพราะเคยมีตัวอย่างในหลายประเทศมาแล้วที่ได้เสนอสถานที่ขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่ไม่ได้รับการอนุมัติเนื่องจากคณะกรรมการเห็นว่าคนในท้องถิ่นไม่ได้มีส่วนร่วมหรือให้การสนับสนุน
ขณะที่ ดร.หม่อมราชวงศ์ รุจยา อาภากร ผู้อำนวยการศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ องค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือซีมีโอ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องคิดในการผลักดันให้เชียงใหม่และลำพูนเป็นมรดกโลกคือจะเสนออะไรเป็นมรดกโลก และจะเป็นมรดกโลกไปเพื่ออะไร เพราะการเสนอสถานที่เป็นมรดกโลกนั้นสิ่งที่ต้องเข้าใจคือวัตถุประสงค์ของโครงการมรดกโลกและความสำคัญของการเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม จะคิดเอาเองว่าเรามีของดีแล้วคนอื่นจะเห็นด้วยไม่ได้
ขณะเดียวกัน ในขอบเขตการพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกนั้นมีหลากหลาย ไม่ได้จำกัดเฉพาะโบราณสถานหรือพื้นที่ด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยมักจะเสนอแต่โบราณสถานหรือพื้นที่ป่าเท่านั้น ดังนั้น ในกรณีของเชียงใหม่-ลำพูนอาจจะต้องลองคิดนอกกรอบดูว่าจะนำเสนออะไรได้บ้าง
ดร.หม่อมราชวงศ์ รุจยากล่าวต่อไปว่า หลายฝ่ายมักกล่าวว่าการเป็นมรดกโลกนอกจากจะเป็นการอนุรักษ์พื้นที่ไว้เพื่อลูกหลานแล้ว ยังจะได้ประโยชน์อย่างมากจากการท่องเที่ยวด้วย แต่ก่อนที่จะเป็นมรดกโลกได้นั้นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของรัฐบาล อีกทั้งต้องทำการศึกษาวิจัยตามหลักสากลเกี่ยวกับสถานที่ที่จะเสนออย่างละเอียดซึ่งถือเป็นงานใหญ่
นอกจากนี้ เมื่อได้เป็นมรดกโลกแล้วก็ยังต้องทำการบริหารจัดการและดูแลพื้นที่ดังกล่าวให้คงสภาพเดิม ซึ่งการดูแลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นงานหนักที่สิ้นเปลืองในหลายๆ ด้าน ดังนั้นการเสนอแนวคิดเรื่องการเป็นมรดกโลกนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ทุกฝ่ายต้องรับรู้ร่วมกันด้วยว่ากระบวนการให้ได้มาซึ่งการเป็นมรดกโลกและการรักษามรดกโลกไว้นั้นเป็นงานที่ยากเช่นกัน หากสนใจแค่ว่าทำอย่างไรให้ได้เป็นก็อาจประสบปัญหาเหมือนกับอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาที่ขาดการเอาใจใส่ดูแล จนกระทั่งมีข่าวว่าจะถูกถอดจากการเป็นมรดกโลกมาแล้ว
ด้านท้าวสมอก พันทะวง รองผู้อำนวยการสำนักแถลงข่าว วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว กล่าวว่า เมืองหลวงพระบางได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 ซึ่งตลอด 18 ปีที่เมืองหลวงพระบางเป็นเมืองมรดกโลกนั้นได้ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงของเมืองในหลายๆ ด้านทั้งในด้านบวกและลบ จากเดิมในปี 1995 ที่ประชากรในหลวงพระบางมีรายได้เฉลี่ยเพียงแค่ 100 เหรียญสหรัฐต่อปี แต่ในปัจจุบันรายได้ของประชาชนได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,200 เหรียญสหรัฐต่อปี รวมทั้งยังทำให้หลวงพระบางกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และได้รับการยกย่องจากหลายฝ่ายว่าเป็นเมืองที่น่ามาท่องเที่ยว
แต่ในขณะเดียวกันวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยเฉพาะการรับเอาอารยธรรมแบบตะวันตกเข้ามาในวิถีชีวิตตามความเจริญที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประเพณีวัฒนธรรมที่เคยสืบทอดกันมาเริ่มถูกละเลย ซึ่งถือเป็นผลกระทบในแง่ลบที่มาพร้อมกับความเจริญที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นหากเชียงใหม่และลำพูนคิดถึงการเป็นมรดกโลกก็ควรจะมีการเตรียมการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาเอาไว้ด้วย
  หากต้องการทราบรายละเอียดในการจัดงานครั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โทร. 053-944859 หรือทาง www.finearts.cmu.ac.th และที่www.facebook.com/คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น