วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

“อภิปัญญา” การรู้คิด (MetaCognition) หลักสูตรเรียนไปไม่ลอก-โตไปไม่โกง


เวลาที่เราๆ ท่านๆ ไปสอนหนังสือหรือไปเป็นวิทยากรใดๆ ก็ตาม เรามักพบว่า ผู้เรียนของเราเรียนแล้วไม่จำ-ไม่เข้าถึงแก่นขิงวิชาความรู้ที่เราสอนนั้น สอนวันนี้-พอถึงวีนรุ่งขึ้น ปรากฎว่า ลืมกันเป็นส่วนใหญ่ ทักษะ (skill) ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะหากผู้เรียนไม่เข้าใจความรู้ที่เป็นพื้นฐานหรือแก่นสาระนั้นแล้ว ก็ยากที่จะทำให้ผู้เรียนไปต่อยอดความรู้นั้นเพื่อให้เกิดเป็นปัญญาได้ 
เช่นเดียวกับเด็กนักเรียนไทยทุกวันนี้ ที่เรียนเพื่อสอบเอาคะแนน ไม่ได้เรียนเพื่อรู้ เพื่อต่อยอดปัญญาอย่างแท้จริง 
ทำให้ผู้สอนหนักใจกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาความรู้ที่ต้องการให้เป็นทักษะติดตัวไปตลอดชีวิต เช่น กรณีที่ผู้เขียน (จขบ.) สอนอยู่คือ นักศึกษาพยาบาลของวิทยาลัยพยาบาลของรัฐ  นักศึกษาหลักสูตรผู้ช่วยเจ้าหน้าที่รังสี หรือที่เป็นวิทยากรรับเชิญ ล้วนก็พบปัญหาลักษณะคล้ายๆ กัน
ความรู้ที่ก่อให้เกิดการจดและจำ จนเกิดเป็นปัญญาระดับสูงสุดของการเรียนรู้นั้นมีอยู่จริง เราเรียกว่า "อภิปัญญา" หรือ การรู้คิด (MetaCognition)

มีผู้เขียนถึงเรื่อง "อภิปัญญา" หรือ การรู้คิด (MetaCognition) ซึ่งเป็นการเรียนรู้ของมนุษย์ (ที่เรียบเรียงเป็นภาษาไทย) เอาไว้ไม่มากนัก และเมื่อค้นหาเอกสารเหล่านั้น ดูๆ แล้วก็เป็นเรื่องที่ยากเกินเข้าใจ  ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ง่ายและเป็นเรื่องที่คนเราที่มีความรู้ในระดับหนึ่งที่พอจะทำความเข้าใจได้ โดยไม่ต้องถึงกับเป็นปัญญาชน หรือผู้นำทางจิตวิญญาณในหมู่ชน
มีคนบอกว่า “อภิปัญญา" หรือ การรู้คิด (Metacognition) คือ การควบคุมและประเมินความคิดตนเองความสามารถของบุคคลที่ได้รับการพัฒนา เพื่อควบคุมกำกับกระบวนการทางปัญญาและกระบวนการคิด ให้มีความตระหนักในงานและสามารถใช้ยุทธวิธีทำงานจนสำเร็จอย่างสมบูรณ์ องค์ประกอบของอภิปัญญา แบ่งเป็น 2 องค์ประกอบคือการตระหนักรู้ (Awareness) และความสามารถในการควบคุมตัวเอง (Self-Regulation)”
ยิ่งทำให้เข้าใจยากเข้าไปอีก 
บ้างก็ได้แยกแยะออกจากกันว่า  Metacognitive หมายถึง ความรู้ส่วนตัวของแต่ละคนต่อสิ่งที่ได้เรียนรู้หรือส่งที่ตนรู้ (Knowing) แตกต่างจาก Cognitive ซึ่งหมายถึง การรู้คิด หรือปัญญาที่เกิดจากจากเรียนรู้อะไรก็ตามด้วยความเข้าใจ (John Flavell, 1979)


แต่ถ้าเราๆ ท่านๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่กับพัฒนาการเรียนรู้ของลูก เด็ก หรือนักเรียนนักศึกษา และศึกษาลักษณะการคิดของตัวเราเองด้วยแล้ว ก็จะยิ่งสังเกตเห็น”การรู้คิด” และ “อภิปัญญา” ได้อย่างใกล้ตัวมากที่สุด
”การรู้คิด” และ “อภิปัญญา” นั้น เป็นกระบวนการคิดของคนๆ หนึ่งที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นการรู้จักคิดวิเคราะห์ จัดระบบคิดของตนเอง มีแหล่งเสาะหาข้อมูลเพื่อนำมาประมวลประกอบการตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ซึ่งกระบวนการคิดแบบนี้มีอยู่ในทุกเพศทุกวัย แต่ทว่า นับวันจะยิ่งน้อยลงๆ ในสังคมไทย โดยดูจากผลลัพธ์จากระบบการศึกษา
นอกจากนี้ ”การรู้คิด” และ “อภิปัญญา” ยังเป็นการศึกษาค้นคว้าให้รู้ถึงเหตุผลของการตัดสินใจว่าเหตุใดคนๆ หนึ่งจึงได้ตัดสินใจทำเช่นนั้น มีอะไรมาดลใจ(เหตุผล)เขามีระบบคิดหรือวิธีคิดอย่างไร ทำไมคนๆ หนึ่ง(บางคน)จึงเลือกที่จะเชื่อในเรื่องของบาปกรรม เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ หรือเชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตเช่นนั้น และการที่คนๆหนึ่งเลือกที่จะเชื่อเรื่องบาปกรรม ไสยศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์นั้นก็เป็นสิ่งแวดล้อมที่เป็นได้ทั้งปัจจัยภายในตัวบุคคลที่ ได้มีประสบการณ์หรือการเรียนรู้มาก่อนและเป็นได้ทั้งปัจจัยภายนอกที่เข้ามา มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคนๆ นั้น เช่น พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กย่อมมีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจของเด็ก เป็นต้น

”การรู้คิด” และ “อภิปัญญา” นั้น จำกัดอยู่กับคนที่หมั่นพิจารณาไตร่ตรองถึงเหตุผลเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่รอบตัว แสดงว่า
”การรู้คิด” และ “อภิปัญญา” เป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้  ซึ่งต้องหมั่นฝึกฝน โดยการศึกษาเรียนรู้ในระบบโรงเรียนก็เป็นพื้นฐานหนึ่งที่ (อาจจะ) ทำให้คนๆ นั้นเกิด ”การรู้คิด” และ “อภิปัญญา” ได้ แต่คนที่ ”การรู้คิด” และ “อภิปัญญา” แล้วนั้นจะไม่หลงเชื่ออะไรที่ไม่มีเหตุมีผล ไม่ทะลุปรุโปร่ง หรือ....รู้แจ้งเห็นจริง
ส่วนใครจะนำไปเทียบกับวิธีการเรียนรู้แบบโยนิโสมนสิการ กับการวิปัสนากรรมฐานซึ่งเป็นศึกษาค้นคว้าในเรื่อง “จิต” ตามแบบพุทธศาสนานั้นก็ไม่ว่ากัน

 

มี “ครูที่สอนน้องหมอ” คนหนึ่งมาคุยกับผู้เขียน (จขบ.) ว่า การสอนด้วยวิธีเล็คเชอร์แบบเดิมๆ นั้นทำให้ครู (ที่มีประสบการณ์สูงอย่างท่าน) นั้น  เหนื่อยมาก ทั้งๆ ที่พยายามสอนพื้นฐานความรู้เพื่อให้นักศึกษาคิดเองได้  แต่ก็ได้แค่ “จำๆ” มาตอบ ถ้าใครสมองดี มีสมาธิหน่อยก็จำได้มาก และตอบได้มากกว่าคนอื่น แต่ไม่เกิดประโยชน์แก่นักศึกษาอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเป็นหลักสูตรที่ต้องผลิตบุคลากรที่สำคัญของประเทศ เพราะต้องมีทั้งความรู้ ความเข้าใจ รู้จักไตร่ตรองด้วยเหตุด้วยผล โดยมีคุณธรรมจริยธรรมกำกับตัวเขาไปตลอดชีวิต
ครูท่านนี้ยังบอกว่า ได้ให้เด็กกลับไปอ่านหนังสือ (ทำความเข้าใจ) มาใหม่ หากใคร “ทำความเข้าใจ” ได้ดีแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือหลายรอบ สิ่งที่นักศึกษาได้ก็จะติดตัว “น้องหมอ” ไปจนตาย ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับ “น้องหมอ” อีกด้วย
การสอนด้วยวิธีการให้โจทย์ปัญหาแก่นักศึกษากลับไปคิดวิเคราะห์แล้วกลับมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ให้มีการเสวนาร่วมกัน (Discussion) ในชั้นเรียนก็เป็นการพัฒนาให้นักศึกษาเกิด “ปัญญา” เพียงแต่นักศึกษายังมีประสบการณ์น้อยอยู่ จึงยังไม่เกิดเป็น “อภิปัญญา” หรือ การรู้คิด ......
โดยผู้เขียนได้ยกเรื่อง “อภิปัญญา” หรือ การรู้คิด เพื่อให้ท่านได้เข้าใจและเข้าถึง และยืนยันว่า ครูคงต้องพยายามต่อไปอีกนิดก็จะถึงเส้นชัยแล้ว และว่า วิธีการสอนในห้องเรียน (หรือในชีวิตประจำวันก็ตาม) ด้วยวิธีการต่างๆ ล้วนเป็น “อุบาย” ที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการรู้คิดหรือ “อภิปัญญา” ทั้งสิ้น
แต่ถ้าหากใครสามารถทำได้เหนือการจำ การทำความเข้าใจ โดยมีการใช้เหตุผล การตัดสินใจ การวางแผน จินตนาการ จึงจะถือว่ามี ”การรู้คิด” และ “อภิปัญญา”


การจะทำให้คนมี ”การรู้คิด” และ “อภิปัญญา” ได้อย่างไรนั้น เราต้องทำความเข้าใจถึงเรื่อง “การเรียนรู้การรู้คิด” ด้วย

การเรียนรู้การรู้คิด (cognitive learning) หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับกลไกทางสมอง  ประกอบด้วย การรับรู้ การคิดการเข้าใจ การใช้เหตุผล การตัดสินใจ การวางแผน การจำ จินตนาการ เป็นต้น
การเรียนรู้การรู้คิด (cognitive learning)  เป็นการเรียนรู้ที่ครอบคลุมการเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการรู้คิด (learning about cognition of thinking) การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการคิด (learning through thinking) และ การคิดเกี่ยวกับการคิดของตน (thinking about thinking) หรืออภิปัญญา (metacognition)

การเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการรู้คิดเป็นการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการทางสมองของบุคคลในการคิดและเรียนรู้เรื่องต่างๆ เช่น การใช้เหตุผล การตัดสินใจ การแก้ปัญหาซึ่งมักได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมทั้งจากภายนอกและภายในตัวบุคคล การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการคิดเป็นการเรียนรู้ที่เน้นการใช้กระบวนการรู้คิดของผู้เรียนโดยนำความรู้เกี่ยวกับกระบวนการรู้คิดมาใช้ในการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนและยังมีความรู้เกี่ยวกับทักษะการคิดอีกจำนวนมากที่ผู้สอนสามารถนำมาสอนและฝึกฝนผู้เรียน เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดเชิงมโนทัศน์ การคิดเชิงระบบการคิดไตร่ตรอง ทั้งนี้ ทักษะกระบวนการคิดต่าง ๆ ดังกล่าวล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ทั้งสิ้น

ส่วนการคิดเกี่ยวกับการคิดของตนเป็นความรู้ของแต่ละบุคคลที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางปัญญาของตนและความสามารถที่จะควบคุมและประเมินการคิดของตนเองการคิดเกี่ยวกับการคิด นับเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความรู้ความเข้าใจและความสามารถในเรื่องนี้สามารถช่วยให้ผู้เรียนควบคุม กำกับกระบวนการทางปัญญาของตนได้การพัฒนาความสามารถในการคิดเกี่ยวกับการคิดของตน
“อภิปัญญา-การรู้คิด” (Metacognition) จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้สอนควรพัฒนาให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียน ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีเช่น การให้ผู้เรียนวางแผนงาน และควบคุมกำกับตนเองในการทำงานการให้เขียนอนุทินสะท้อนความคิดและประสบการณ์ต่าง ๆ (Reflection) การให้ประเมินผลงานและประเมินตนเอง เป็นต้น 

 

เรื่อง “การรู้คิด หรือ อภิปัญญา” (Metacognition) จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายทั้งครู อาจารย์ ผู้สอน ผู้เรียน พ่อแม่ผู้ปกครอง และผู้ที่ต้องการพัฒนาสติปัญญาของตนเองให้สูงขึ้น จนมี “ความเป็นตัวของตัวเอง” คือ มีความรู้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวของเขาเอง และเป็นความรู้ที่ถูกต้อง หรือไม่ก็พัฒนาตนเองอยู่ในสาขาความรู้นั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างถูกครรลองคลองธรรม

ผู้อ่านคงเคยสังเกตเห็นว่า ในแต่ละปี มักมีข่าวเรื่อง “เด็กเก่ง”   ทำไมเด็กบางคนถึงเก่งอย่างสมบูรณ์แบบ ก็เพราะเขามีการเรียนรู้ตัวเขาเองเพื่อให้รู้คิด (cognitive learning) รู้จักจัดระบบและควบคุมการเรียนรู้ของตัวเขาเองให้มีประสิทธิภาพนั่นเอง 


เด็กนักเรียน นักศึกษาบ้านเราที่ไปเรียนๆ ลอกการบ้าน ลอกข้อสอบกัน จนต้องเอากระดาษมาเย็บปิดหน้าปิดตากันก็เพราะ...
ผู้เรียนเรียนอย่างผิดวิธี  ผู้สอนสอนย่างผิดวิธี   สถานศึกษาจัดระบบการศึกษาอย่างผิดวิธี ระบบการศึกษาของบ้านเราผิดเพี้ยนมากขึ้นทุกที

แนวคิดที่พร่ำสอนแก่เยาวชนรุ่นใหม่ว่า “โตไปไม่โกง” นั้น  ไม่น่าจะจริง เพราะไม่มีอะไรที่ฝึกฝนเด็กอย่างเป็นรูปธรรม หากแต่กลับพบว่า คนบ้านเรา....ยิ่งเรียนสูง ก็ยิ่งเก่งในด้านโกง …!!
“อภิปัญญา-การรู้คิด”  ไม่สอนให้คนโกงเก่ง จนได้เป็นรัฐมนตรีอย่างแน่นอน

แต่ “อภิปัญญา-การรู้คิด” เป็นการสอนให้เป็นคนเก่งโดยมีคุณธรรมควบคู่ไปในตัวด้วย สังคมจึงเป็นสังคมที่พึงปรารถนา ไม่วุ่นว้าวุ่นวายเช่นในปัจจุบันนี้
............................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น