วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

รัฐบาลต้องแก้กรรม ..นโยบายจำนำข้าว



การที่รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยอมปรับลดราคารับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ดจากตันละ 15,000 บาท เหลือ 12,000 บาท เป็นอันตรายต่อเสถียรภาพรัฐบาลยิ่งนัก สะท้อนว่ารัฐบาลขาดความรอบคอบหลายด้าน นับตั้งแต่โยนเรื่องจำนำข้าวออกมาเป็นนโยบายหาเสียง  มีหลายคนก็เคยบอกในตอนนั้นแล้วว่า อย่าฝืนความจริงเพียงเพื่อต้องการเอาชนะเลือกตั้งเท่านั้น  แม้เสียงส่วนใหญ่ที่อาจจะเลือกตั้งเข้ามาได้จัดตั้งเป็นรัฐบาลก็จริง แต่ชาวนาก็ไม่ได้รู้เรื่องกำไรขาดทุน ภาระการเป็นหนี้ทางการเงินการคลังของรัฐบาลด้วยก็ตาม จึงไม่ควร “ประกัน” (จำนำ)ราคาไว้สูงเกินไป
จนสุดท้ายรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ต้องยอมเสียหน้า กลืนน้ำลายตัวเอง และอาจต้องยอมสูญเสียคะแนนความนิยมที่จะส่งผลกระทบถึงการเลือกตั้งในคราวหน้าอีกด้วย นี่คือการขว้างงูไม่พ้นคอตัวเอง หรือไม่รอบคอบพอ

 

ถึงจะปรับลดราคาจำนำข้าวลงมาแล้ว เรื่องนี้ก็ยังไม่จบลงเพียงแค่นั้น เพราะถึงอย่างไรต่อให้ลดราคารับจำนำข้าวเปลือกลงเหลือ 12,000 บาท ซึ่งเมื่อเทียบเป็นราคาข้าวที่ส่งออกเทียบกับราคาตลาดโลกที่แข่งขันกัน ราคา 12,000 บาทนี้ก็ยัง “แพงกว่า” ของผู้ผลิตรายอื่นอยู่อีก
ถ้าหากจะให้แข่งขันกับผู้ผลิตหรือประเทศที่ทำตัวเป็นผู้ค้าได้ (เช่น สิงคโปร์)  ราคาที่รับซื้อจากชาวนาควรจะลดต่ำลงมาอีก (เราซื้ออยู่ที่ 470 – 490 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 14,700 บาทต่อตัน)
เช่น อินโดนีเซีย ราคาขายข้าวต่ำกว่าไทยอยู่ 100 – 170  ดอลลาร์สหรัฐ  เวียดนามต่ำกว่า 160  ดอลลาร์สหรัฐ  หรืออินเดียต่ำกว่า 90  ดอลลาร์สหรัฐ  เป็นต้น

เพราะเมื่อรัฐบาลไทยทำหน้าเป็นผู้ซื้อและผู้ขายข้าวเสียเองเช่นนี้ โดยให้ชาวนาเป็น ผู้ผลิต โรงสีข้าวเป็นตัวแทนรับซื้อ เก็บ สีเพื่อรอส่งออกตามคำสั่งขายของรัฐบาล ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงสูงที่รัฐบาลจะต้องเผชิญ “กรรม” เรื่องจำนำข้าวที่ก่อไว้ไปครั้งใหญ่ๆ อีกหนหนึ่ง เนื่องจากข้าวที่ยังอยู่ในสต๊อกอีก 15 ล้านตันนั้น คำณวนคร่าวๆ ก็เห็นแล้วว่ายังจะต้องขาดทุนรอบใหม่อยู่อีกประมาณ 1500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  และมิใช่แค่ยอดขาดทุน 1.3 แสนล้านบาทที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น ซึ่งยังมินับรวมถึงการเสื่อมสภาพ เรื่อง คุณภาพและน้ำหนักที่กำลังจะสูญหายไปตามระยะเวลาที่รอเปิดโกดังรอบใหม่ ซึ่งจะต้องขาดทุนไปเรื่อยๆ  อย่างมิรู้จบ
เรื่องจะให้มีผลกระทบลามไปถึงเสถียรภาพของรัฐบาลน้องสาว คุณทักษิณย่อมไม่ยอมให้เจ็บอย่างแน่นอน ทั้งการระบายข้าวออกรอบใหม่นี้ รัฐบาลจะมีการขายออกกันอย่างอุตลุด ถูกแพงเท่าไรไม่เป็นไร ขอให้ได้ขาย เพื่อนำเงินมาเสริมสภาพคล่องให้กับ ธกส. เพื่อไปอ้างกับชาวนาได้ว่าได้ขายออกไป เพื่อให้ได้คะแนนนิยมจากชาวนาและเกษตรกรกลับคืนมา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยขณะนี้จึงเปรียบเสมือนป้อมปราการที่ สส.พรรคเพื่อไทยต้องรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้
ต้องไม่ให้เกิดมี “ม้อบชาวนา”  ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตอนนี้ทั้งคุณทักษิณและ สส.ของเขาต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ความหมายก็คือ รัฐบาลไม่ได้ทำผิดอะไร เพียงแต่รัฐบาลทำผิดไปจากที่พรรคประชาธิปัตย์คิดไว้เท่านั้นเอง จึงถูกโจมตี หรือบ้างก็อ้างไปถึงว่า เป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์จึงทำให้รัฐบาลต้องลดราคาจำนำข้าว หรือสำทับไปอีกนิดว่า เพราะราคาข้าวในตลาดโลกเขาขายถูกกว่าเรา แต่ไม่ได้บอกชาวนาคือต้นเหตุว่า แท้ที่จริง เพราะรัฐบาลซื้อ (จำนำ) เข้ามาแพงกว่าประเทศอื่นๆ ก็ด้วยนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาล 
และ เมื่อรัฐบาลทำขาดทุนข้าว ก็ต้อง “เอาเงินมาอุดเงิน” ซึ่งแตกต่างจากการทำกำไร ที่เขา “เอาเงินมาต่อเงิน”
เมื่อยอมเจ็บจากบาดแผลที่กลายมาเป็นหนองรอวันปะทุ ต้องพึ่งมีดหมอรักษา และต้องใช้เงินมหาศาลในฤดุกาลเลือกตั้งรอบใหม่ จะนำ "กระสุน" มาจากที่ใดเป็นมิได้ นอกจากการเปลี่ยนจาก "ทุนน้ำ" มาเป็น "กระสุนดินดำ" หริอเงินทุนจากโกงข้าวก็เอามาแปรเป็น "กระสุน" เพื่อยิง สส.เข้าเป้ารอบใหม่ได้


กลไกการตรวจสอบ เปิดโปงเรื่อง “นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลขาดทุน”   เริ่มตั้งแต่
1. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก รวมทั้งสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเปิดเกมเรื่องนี้ในสภาฯ มาก่อน แล้วยังกลายเป็นบาดแผลเรื้อรังมาจนถึงวันนี้ ยังวางมือเรื่องนี้ไม่ได้ ที่จะต้องพิสูจน์ว่ารัฐบาลและโครงข่ายโกงจำนำข้าว และ ไอ้โม่งคนนั้นตามที่ นพ.วรงค์ ตั้งสมมุติฐานไว้นั้นเป็นเครือข่ายเดียวกันกับคนในรัฐบาล
2.  สื่อมวลชน ซึ่งได้ทำหน้าที่อย่างดีแล้ว แต่ก็ยังต้องทำดีต่อไป ผู้สื่อข่าวยังต้องทำการบ้านหนักและติดตามการทำงานของรัฐมนตรีในเรื่องจำนำข้าว รวมถึงนโยบายอื่นๆ ด้วย  
3. ประชาชนในยุคสมัยเทคโนโลยีสารสนเทศ  การรวมตัวกันติดตามตรวจสอบข้อมูลการทำงานของรัฐบาล การเผยแพร่หรือแบ่งปันข้อมูลให้แก่กัน รวมทั้งการแสวงหาทางออกที่เหมาะสมให้แก่สังคม 
ยังมีส่วนที่ขาดหายไปคือบทบาทของนักวิชาการ เช่น นักวิชาการในสถาบันต่างๆ ครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลนับวันจะยิ่งมีจำนวนที่ลดน้อยลง และยังขาดการให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างจริงจัง


รัฐบาลจะ “แก้กรรม” เรื่องจำนำข้าว สำเร็จลงได้หรือไม่  มีอยู่ 3 – 4 ปัจจัยตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของบ้านเรา ตามที่กล่าวข้างต้นเท่านั้นที่จะเป็น “อุปสรรค” การแก้กรรมของรัฐบาล

ข้าว เป็นอาหารหลักในการยังชีพของประชาชนชาวไทย แต่นโยบายการจำนำข้าวมิใช่อาหารยังชีพของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
............................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น