วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

รณรงค์หมวกกันน็อคและวินัยจราจร (ทำกันคนละที..มีแต่ตายกับตาย)

 (ภาพ ป้ายประกาศจับคนทำความดี รอบที่ 1 เพื่อนำมาเป็นตัวอย่างและมอบรางวัล)
(ภาพ การรณรงค์สวมใส่หมวกันน็อคระยะที่ 2 ในการประกาศจับเพื่อมอบรางวัลแก่คนทำดี
ซึ่งตั้งอยู่ตามจุดสำคัญๆ ของเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช)

ภาพครอบครัวนี้ถูกขึ้นข้อความ "ประกาศจับ" โดยถูกถ่ายภาพติดป้ายไวนิลติดไว้ทั่วทั้งเมืองนครศรีธรรมราชและที่ที่หน้าโรงพัก (ตร.ภ.นครศรีธรรมราช) สร้างความฮือฮา กล่าวขานกันไปทั่วเมืองนครฯ และมีสื่อมวลชนมาทำข่าวเผยแพร่เป็นข่าวดังไปทั่วทั้งประเทศเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
และที่ด้านล่างของป้ายระบุข้อความว่า
"คุณเป็นใคร แสดงตัวด่วน หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเจอบุคคลในภาพให้จับและนำตัวมาที่สถานีตำรวจเพื่อรับ รางวัลและประกาศนียบัตร ด้วยความปรารถนาดีจากศูนย์จราจรสถานีตำรวจเมืองนครศรีธรรมราช"
กล่าวกันว่า เป็นการประกาศจับผู้ที่กระทำความดีครั้งแรกของโลก เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งนโยบายของทางตำรวจโดย พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ต้องการใช้ “แรงบวก” หรือแรงเสริมในการรณรงค์วินัยทางการจราจร เพื่อลดอุบัติเหตุและความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินจาก การใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายเรื่องวินัยจราจร ในเรื่องของการสวมหมวกนิรภัย และครอบครัวดังกล่าวที่ถูกประกาศจับนั้น ก็เพราะเป็นครอบครัวตัวอย่างที่สวมหมวกนิรภัย  ซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยครั้งนักที่จะเห็นภาพทุกคนนั่งรถพ่วงข้ายโดยสวมใส่หมวกกันน็อคกันทั้งครอบครัว ต่อมาครอบครัวที่ถูกประกาศจับก็ไปรับรางวัลและมีการติดประกาศให้ทราบกันทั่วเมืองเช่นเดียวกับเมื่อตอนที่ถูกประกาศจับ

(ภาพ เขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราชในวันนี้มีแต่คนสวมใส่หมวกกันน็อค)
 
(ภาพ ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ในเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่สวมใส่หมวกกันน็อค)

ที่กล่าวข้างต้นนั้นเป็นหนึ่งในหลายๆ วิธีการขู่ จับ ปรับ เพื่อให้ชาวนครศรีธรรมราชได้มีวินัยการจราจร รวมทั้งการตั้งด่านตรวจตามจุดตรวจต่างๆ แม้ในเดือนถัดมาจะถูกต่อต้านจากกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าก็ตาม
การกวดขันจับกุมในยามค่ำคืนนั้น แอลกอฮอล์อย่างหนักแทบทุกคืน ทำให้ลูกค้า และนักท่องเที่ยวลดลง เนื่องจากไม่กล้าออกมาเที่ยวดื่มกินในยามค่ำคืน ส่งผลกระทบไปถึงจำนวนลูกค้าในร้านอาหาร ภัตราคาร ผับบาร์ต่างๆ  ไม่เว้นแม้แต่ร้านน้ำชา (หมายถึง ร้านกาแฟ-ไม่มีการขายสุรา)  จนเกิดการประท้วงกันไปมาระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนการกวดขันวินัยจราจรของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกับฝ่ายชมรมผู้ประกอบการร้านค้าซึ่งเห็นว่า....กวดขันกันอย่างอย่างไม่ดูตามม้าตาเรือจนกระทบการค้าการขาย
จนกลายเป็น “ม้อบชนม้อบ” เข้าร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชมาแล้ว
เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาว่า ถ้าหากเจ้าหน้าที่ใช้มาตรการด้านกฎหมายอย่างเคร่งครัดเกินไปก็ทำให้บรรยากาศบ้านเมืองตึงเครียด แต่ถ้าหากหละหลวม ปล่อยปะละเลยก็สร้างผลเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเช่นเดียวกัน
แต่ถ้าหากประชาชนมีนิสัย “รักตัวกลัวตาย” มีวินัยจราจรดีแล้ว เจ้าหน้าที่ก็คงไม่ต้องตรวจหรือกวดขัน จะได้ไปทำหน้าที่อื่น
เช่นเดียวกันกับโรงพยาบาลก็ไม่ต้องมีผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก็ไม่สิ้นเปลืองทรัพยากรที่สามารถประหยัดได้ เพียงการมีวินัยจราจร เคารพกฎหมาย มีน้ำใจในการใช้รถใช้ถนน ฯลฯ

 
(ภาพ สวมแต่แม่ - ยังขาดก็แต่หมวกกันน็อคสำหรับหนูน้อยใส่ก่อนไปโรงเรียนยามเช้า)

แต่เหตุการณ์ดูจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะสถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการใช้รถใช้ถนนของ จ.นครศรีธรรมราชที่มีการเก็บข้อมูลไว้ 6 ปีพบว่า ปี 2546  เสียชีวิต 240  ราย  ปี 2547  เสียชีวิต  264  ราย  ปี 2548  เสียชีวิต 247  ราย ปี 2549  เสียชีวิต 254  ราย ปี 2550  เสียชีวิต  213  ราย ปี 2551  เสียชีวิต  229  ราย
สถิติกำลังบอกเราว่าที่มีการเก็บข้อมูลไว้นี้ได้มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน เฉลี่ยปีละ  241 ราย ซึ่งจัดว่าสูงและไม่มีทางลดจำนวนลงอย่างแน่นอน ถ้าหากไม่มีการเข้าไปจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งตัวเลขอาจจะพุ่งไปถึงวันละ 1 ราย
โดยข้อมูลนั้นพบว่า ช่วงอายุของผู้ประสบภัยส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 15 – 25 ปี มีสาเหตุจากรถจักรยานยนต์เป็นส่วนใหญ่ สาเหตุการเสียชีวิตหลักๆ คือ การบาดเจ็บรุนแรงที่ศรีษะ
แต่จะทำอย่างไรกับการกวดขัน จับ ปรับ การสวมใส่หมวกกันน็อคสำหรับเมืองที่เคย “เผาโรงพัก” เพราะสาเหตุนั้นมาแล้วในปี 2544
ในด้านการดำเนินงานแก้ไขปัญหานี้ พบว่ามีปัญหาที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “ต่างคนต่างทำ” ไม่มีการร่วมมือกันทำงาน เหมือนเล่นดนตรีกันคนละชิ้น เสมือนไม่ได้เล่นเป็นเพลงเดียวกัน

 
(ภาพ ด่านตรวจในยามกลางคืนกวดขันเรื่องหมวกกันน็อคและสิ่งผิดกฎหมาย ที่นี่พบได้บ่อยมากขึ้น)
(ภาพ แต่...ตำรวจ 2 นายนี้มักจะมาแอบดักรอจับกุมผู้กระทำผิด หรือทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่ประจำ..?)

ในปีถัดมาก็ได้มีการร่วมมือกันทุกภาคส่วนจัดตั้งภาคีเครือข่ายความปลอดภัยจากการใช้รถใช้ถนนของ จ.นครศรีธรรมราชขึ้น ได้แก่ สถานีตำรวจ โรงพยาบาล สถานศึกษา ส่วนราชการต่างๆ ห้างร้านเอกชน ฯลฯ เข้ามาร่วมกันรณรงค์ตามบทบาทและหน้าที่ของตนเองที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้  เช่น การจับปรับแต่แจกหมวกกันน็อคแทน ฯลฯ
ส่งผลให้ใน 2 ปีถัดมามีผู้เสียชีวิตลดลง โดยในปี 2552  เสียชีวิต  177  ราย  ปี 2553  เสียชีวิต 157  ราย

สถิติการเสียชีวิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วก็เกิด “อุบัติเหตุ” กับภาคีเครือข่ายฯ เสียเอง นั่นคือ ผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในการกำกับนโยบายนี้ คือ นายตำราวจระดับสูงได้รับคำสั่งย้ายออกจากพื้นที่ไปรับราชการยังจังหวัดอื่น จึงไม่มีการกวดขันด้านการจับปรับผู้ไม่ขับขี่รถจักรยานนยนต์ที่ไม่สวมใส่หมวกกันน็อค จึงส่งผลให้ปี 2554 มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 223  รายเช่นเดียวกับสถิติในปี 2546 – 2551
ผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในปีต่อๆ มา คือ 2555 และครึ่งปีแรกของปี 2556 นี้ตัวเลขสถิติการตายลดลงไปอยู่ที่ 100 กว่าคนเช่นเดิมแล้ว
ซึ่งเกิดจากการที่ผู้กำกับนโยบายตั้งแต่ระดับจังหวัด ลงมาถึงผู้ปฏิบัติงานของภาคีเครือข่ายฯ ได้ร่วมมือร่วมใจกันเอาจริงเอาจังกันอีกครั้ง
 
 (ภาพ อุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนพบได้ตลอดเวลา)
 
(ภาพ รถพยาบาลจากโรงพยาบาลต่างอำเภอมาส่งผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจรที่โรงพยาบาลมหาราชฯ มีไม่เว้นในแต่ละวัน)

แพทย์เวรอุบัติเหตุซึ่งเกี่ยวข้องเรื่องนี้โดยตรงได้เล่าถึง "ปัจจัยความสำเร็จ" ที่สามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตลงได้นั้น  ปัจจัยหลักๆ อยู่ที่
  1. การประกาศหรือกำหนดเป็นนโยบายระดับจังหวัด อันจะส่งผลให้เกิดการทำงานของภาคีเครือข่ายของหน่วยงานต่างๆ ได้ทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้อง เช่น สถานีตำรวจ มูลนิธิต่างๆ หน่วยกู้ภัย โรงพยาบาลและสถานพยาบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรต่างๆ ในพื้นที่ สื่อมวลชน ชมรมวิทยุสมัครเล่น อาสาสมัคร อพปร. ฯลฯ 
  2. บุคคล ยังคงเป็นกลไกสำคัญ ถ้าหากในพื้นที่ใดมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ทำงานอย่างทุ่มเท เสียสละ และเอาจริงเอาจังจริง ก็มักจะประสบความสำเร็จได้ง่าย โดยเฉพาะตำรวจจราจร ซึ่งถือว่ามีบทบาทสำคัญที่สุดและเป็นต้นทางของการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
  3. ความต่อเนื่องของนโยบาย จากข้อมูลข้างต้นทั้งหมดได้แสดงให้เห็นถึงความไม่ได้มีการกวดขันและความไม่ต่อเนื่องของนโยบายอย่างชัดเจน

โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า การรณรงค์และการใช้นโยบายนี้ ภาคีเครือข่ายโรงเรียนมัธยมศึกษา (นักเรียนระดับมัธยมศึกษา) เป็นประชากรกลุ่มเป้าหมายสำคัญเป็นภาคส่วนที่ทำงานยากและได้ผลน้อยที่สุด เนื่องจากกลุ่มช่วงอายุวัยรุ่นมักไม่ตระหนักถึงความปลอดภัย มักเน้นความสะดวกรวดเร็ว จนกลายเป็นความประมาท สาเหตุดังกล่าวนี้จึงทำให้ช่วงวัยนี้ประสบอุบัติเหตุมากกว่าช่วงอายุอื่น
การกวดขัน จับ ปรับ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร แม้จะได้ผลในระดับหนึ่ง ก็ไม่สำคัญเท่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือนิสัยในการขับขี่ยวดยานอย่างปลอดภัย หรือใช้รถใช้ถนนโดยตระหนักถึงความปลอดภัยเป็นความสำคัญเรื่องแรกสุด
การสร้างแรงกระตุ้นเพื่อปรับเปลี่ยนนิสัยความปลอดภัยต้องทำอย่างต่อเนื่องต่อไป และฝังรากลึกในเยาวชนรุ่นใหม่ และให้คนรุ่นใหม่ช่วยกวดขันผู้ปกครองให้ตระหนักและปฏิบัติถึงความปลอดภัยด้านการจราจร เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ เราคาดหวังว่า...จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรลดจำนวนลง สถิติคงไม่ถึงกับเป็น “ศูนย์” (0)  จากข้อสังเกตนี้ จึงเหมือนว่า..... 
แต่ถ้าหากเราแก้ปัญหาเรื่องวินัยจราจรกันคนละที ก็เหมือนเล่นดนตรีกันคนละวง  และมีแต่ทำให้ "คนตาย" เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งข้อมูลการดำนเนินงานของจังหวัดนครศรีธรรมราชที่นำมาเล่านี้ ก็ถือว่าเป็นอุทาหรณ์ที่ดีเพื่อจะได้เป็น "ความปลอดภัยแก่ชีวิต......และทรัพย์สินของประชาชน" ให้แก่พื้นที่อื่นๆ ได้ 
  
.......................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น