
ศาสนาในประเทศอินเดีย
เชื่อกันว่า ความเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดหรือสังสารวัฏได้เกิดขึ้นในประเทศอินเดียมานานแล้ว ก่อนที่ชนชาติอารยันจะได้อพยพเข้ามาในอินเดียเสียอีก (๑,๐๐๐ ปีก่อนพุทธกาล) ซึ่งได้นำเอาศาสนาพระเวทเข้ามาด้วย ซึ่งเป็นศาสนาที่เคารพบูชาเทวดาที่เกี่ยวกับธรรมชาติ เช่น พระอินทร์ เทพแห่งสายฟ้าและการสงคราม พระวรุณ เทพแห่งฝน พระพาย เทพแห่งลม ฯลฯ ในศาสนาพระเวทไม่มีการทำรูปเคารพ เนื่องจากพวกอารยันเป็นพวกที่เดินทางอพยพโยกย้ายเคลื่อนที่ไปมาไม่มีหลักแหล่ง การติดต่อกับเทพเทวดาจึงมีเพียงบทสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าเท่านั้น หากแต่ศาสนาพระเวทไม่มีความเชื่อในเรื่องสังสารวัฏ แต่เชื่อว่าผู้ที่ตายไปแล้วจะไปอยู่กับพระยม เทพเจ้าแห่งความตาย
เมื่อพวกอารยันเข้ามาในประเทศอินเดียก็ได้นำเอาศาสนาพระเวทเข้ามาปะปนกับความเชื่อพื้นเมืองที่มีอยู่เดิม จนเกิดเป็นศาสนาพราหมณ์ กลายเป็นการยอมรับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด และเชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้าคือ มหาบุรุษ หรือ พรหมัณ เป็นผู้สร้างโลกและสร้างสิ่งที่มีชีวิตทั้งปวงขึ้น ศาสนาพรามหณ์ได้นำระบบวรรณะเข้ามาใช้ มีการแบ่งมนุษย์ออกเป็น ๔ วรรณะ คือ พราหมณ์ (นักบวช) กษัตริย์ (นักรบ) แพศย์ (พ่อค้า) และศูทร (กรรมกร) ส่วนความเชื่อการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์นั้นเป็นทุกข์ การจะได้หลุดพ้นจากสังสารวัฏมนุษย์ต้องกระทำตนให้ถูกพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า เพราะเมื่อตายไปแล้วจะได้เข้าไปรวมกับพระองค์ จึงไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ความสำคัญเหล่านี้จึงอยู่ที่พวกพราหมณ์ เนื่องจากเป็นผู้ที่สามารถติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้าและรู้พระทัยของพระองค์แต่เพียงพวกเดียว ดังนั้น พวกพราหมณ์จึงมีอำนาจ และมีอิทธิพลมากมาย
ในสมัยพุทธกาลได้เกิดมีศาสนาใหม่ขึ้นในอินเดีย ๒ ศาสนา โดยเป็นศาสนาที่ต่อต้านศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ ศาสนาไชนะ (หรือเชน, ชินะ) และพุทธศาสนา ทั้ง ๒ ศาสนาปฏิเสธไม่ยอมเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และไม่ยอมรับระบบวรรณะ แต่ทั้ง ๒ ศาสนามุ่งสอนให้ประชาชนปฏิบัติไปสู่นิพพาน คือ หลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดโดยตนเอง แต่ศาสนาไชนะมุ่งสอนไปทางด้านการบำเพ็ญทุกกรกิริยบารมี หรือการทรมานร่างกาย ส่วนพุทธศาสนานั้นซึ่งค้นพบโดยเจ้าชายสิทธัตถะก็ทำบำเพ็ญทุกกรกิริยบารมีมาก่อน แต่ก็ค้นพบและมุ่งการปฏิบัติที่ดำเนินตามสายกลาง หรือ มัชฌิมาปฏิปทา และสอนการไปสู่นิพพานด้วยการระงับดับกิเลสในตนและบำเพ็ญทาน ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๓ ) พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งและได้แผ่ขยายออกไปนอกประเทศอินเดียด้วย ศาสนาไชนะไม่เคยมีผู้นับถือแพร่หลายเท่าพุทธศาสนา แต่ในปัจจุบันยังคงมีผู้นับถืออยู่บ้างในประเทศอินเดีย
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๖ ได้เกิดมีพุทธศาสนาลัทธิใหม่ขึ้นคือ ลัทธิมหายาน ซึ่งแยกออกไปจากลัทธิเถรวาท (หรือหินยาน)ที่มีมาแต่เดิม โดยพุทธศาสนาลัทธิมหายานได้รับเอาความเชื่อนับถือตามศาสนาพรามหณ์เข้ามาปะปน คือ มีการนับถือพระอาทิพุทธเจ้า* (ดูหมายเหตุ –ผู้เขียน) ว่าเป็นพระพุทธเจ้าผู้สร้างโลก พระองค์บันดาลให้มีพระธยานิพุทธเจ้าขึ้น ๕ พระองค์ ประทับตรงกลาง ๑ พระองค์ และประจำอยู่ตามทิศทั้งสี่อีกทิศละหนึ่งองค์พระธยานิพุทธเจ้าบันดาลให้มีพระมนุษยพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ในมนุษยโลก ด้วยเหตุนี้จะเห็นว่าพระศรีศากยมุนีผู้ทรงตั้งพุทธศาสนาจึงกลายเป็นแต่เพียงพระมนุษยพุทธเจ้าเพียงองค์หนึ่งในจำนวนหลายองค์เท่านั้น พระธยานิพุทธเจ้ายังบันดาลให้มีพระโพธิสัตว์อีกมากมายเป็นผู้คุ้มครองผู้ที่นับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายานอีกด้วย เหตุนี้จึงเห็นว่าพุทธศาสนาลัทธิมหายานได้แตกต่างออกไปจากคำสั่งสอนดั้งเดิมในพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทมากทีเดียว
ในระยะนี้ได้เกิดมีการประดิษฐ์พะรพุทธรูปเป็นรูปมนุษย์ขึ้นตามความเชื่อถือในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ในยุคปัจจุบันพระอมิตาภะผู้ทรงเป็นพระธยานิพุทธเจ้าประจำทิศตะวันตกเป็นพระธยานิพุทธเจ้าที่สำคัญที่สุด พระองค์ทรงมีลักษณะเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางสมาธิ ทรงเป็นผู้บันดาลให้พระศรีศากยมุนีลงมาตรัสรู้เป็นพระมนุษยพุทธเจ้า และบันดาลให้พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงเป็นผู้คุ้มครองพุทธศาสนาลัทธิมหายานและผู้ที่เคารพนับถือพุทธศาสนาลัทธินั้น ด้วยเหตุนี้เองรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรจึงมีรูปพระอมิตาภะประดิษฐานอยู่บนศิราภรณ์
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ศาสนาพรามหณ์ก็ได้แก้ไขตนเองเพื่อต่อต้านพุทธศาสนาลัทธิมหายาน จึงได้กลายเป็น ศาสนาฮินดู ขึ้น โดยแบ่งออกเป็น ๒ ลัทธิใหญ่ๆ คือ ลัทธิไศวนิกาย นับถือพระอิศวรเป็นใหญ่ และลัทธิไวษณพนิกาย นับถือพระนารายเป็นใหญ่ พระพรหมผู้สร้างโลกซึ่งกลายมาจากพรหมัณนั้น ไม่เคยมีผู้นับถือพระองค์เป็นเอกเทศเฉพาะ แต่อย่างไรก็ดีทั้งพระพรหม พระอิศวรและพรนารายณ์ ก็อาจรวมกันเข้าเป็นองค์เดียวได้ ที่เรียกว่า ตรีมูรติ
ลัทธิไศวนิกาย นิยมทำรูปพระศิวนาฏราช หรือพระอิศวรทรงฟ้อนรำอยู่ในวงเปลวไฟ เหยียบอสูรแห่งความชั่วร้ายอยู่เบื้องล่าง ผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูนิกายไศวนิกายเชื่อว่า การฟ้อนรำของพระอิศวรอาจบันดาลให้เกิดเหตุดีเหตุร้ายให้เกิดขึ้นแก่มนุษยโลกได้ เหตุนั้นมนุษย์จึงต้องบวงสรวงอ้อนวอนให้พระองค์ทรงฟ้อนรำอยู่ในจังหวะที่พอดี
(ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ปราสาทหินพนมรุ้ง สร้างขึ้นตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไวษณพนิกาย)

สำหรับลัทธิไวษณพนิกาย เชื่อว่า เมื่อถึงเวลาสิ้นกัลป์และโลกถูกทำลายลง พระนารายณ์ก็บรรทมสินธุ์อยู่กลางมหาสมุทรเหนือพระยาอนันตนาคราช ดอกบัวจะผุดออกจากพระนาภีของพระองค์ และพระพรหมผู้ประทับอยู่เหนือดอกบัวก็จะสร้างโลกขึ้นใหม่ ในระหว่างโลกกำลังคงอยู่ ถ้าเกิดมียุคเข็ญเมื่อใด พระนารายณ์ก็จะอวตารลงมาทรงปรบยุคเข็ญ ด้วยการอวตารเป็น นารายณ์ ๑๐ ปาง* (ดูหมายเหตุ – ผู้เขียน) แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ศาสนาฮินดูลัทธิไวษณพนิกายก็ยังนำไปจัดเป็นพระนารายณ์อวตารปางที่ ๙ สำหรับอวตาร ๑๐ ปางของพระนารายณ์นี้ ต่อมาเมื่อเกิดลัทธิภักดีขึ้นในศาสนาฮินดู คือผู้นับถือต้องอุทิศถวายตนเองอย่างสิ้นเชิงต่อเทพเจ้า พระกฤษณาวตารคือปางอวตารเป็นพระกฤษณะก็เป็นที่แพร่หลายอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดี บางครั้งก็มีการรวมองค์เทพของลัทธิไศวนิกายและลัทธิไวษณพนิกายเข้าด้วยกัน เป็นการสร้างรูปพระหริหระ ขึ้น คือ เป็นพระนารายณ์ (หริ) ครึ่งหนึ่ง และพระอิศวร (หระ) อีกครึ่งหนึ่ง
ต่อมาพุทธศาสนาลัทธิมหายานก็แข่งขันกับศาสนาฮินดูบ้าง เกิดเป็นพุทธศาสนาลัทธิตันตระ (ดูหมายเหตุ – ผู้เขียน) คือ ลัทธิที่เชื่อถือในเวทมนตร์คาถาอย่างมากมาย พุทธศาสนาลัทธิตันตระเจริญแพร่หลายอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย (ทางทิเบต –ผู้เขียน) ในสมัยราชวงศ์ปาละ-เสนะ (พุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๘) มีมหาวิทยาลัยนาลันทาในแคว้นเบงกอลเป็นจุดศูนย์กลาง พุทธศาสนาลัทธิตันตระได้ยอมรับเอาความเชื่อถือในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายเข้ามาปะปนอยู่เป็นอันมาก และยิ่งห่างจากหลักดั้งเดิมของพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทเดิม คือ การศรัทธาในการบำเพ็ญทานและการระงับดับกิเลสเพื่อไปสู่การนิพพานออกไปมาทุกที กลับมีพระโพธิสัตว์ทั้งชายและหญิงปรากฏองค์ขึ้นเป็นจำนวนมากในพุทธศาสนาลัทธินี้ และมุ่งสอนให้บุคคลไปถือกำเนิดใหม่เป็นพระโพธิสัตว์มากกว่าที่จะไปสู่นิพพาน (ตามเอกสารเดิม ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ใช้คำว่าปรินิพพาน ซึ่งเป็นคำที่ใช้เฉพาะการดับขันธ์นิพพานของพระพุทธเจ้าเท่านั้น – ผู้เขียน)
.............................
ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พวกมุสลิมซึ่งนับถือศาสนาอิสลามเข้าโจมตีแคว้นเบงกอล และได้ทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทาลง พุทธศาสนาก็จึงได้สูญหายไปจากประเทศอินเดีย ถึงกระนั้นก็ยังมีบางท่านกล่าวว่า แม้พวกอิสลามจะไม่ได้เข้ามารุกรานแคว้นเบงกอล ศาสนาพุทธลัทธิเถรวาทก็คงจะถูกศาสนาฮินดูกลืนหายไปอยู่นั่นเอง เพราะได้ละทิ้งไปจากหลักการดั้งเดิมของตนเองและปรับปรุงให้ใกล้เคียงกับศาสนาฮินดูเข้าไปทุกที
ชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลามได้เริ่มเข้าปกครองดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖ (บริเวณประเทศปากีสถานในปัจจุบัน – ผู้เขียน) และต่อมาได้ขยายไปทางทิศตะวันออกจนครอบครองแคว้นเบงกอลไว้ได้ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ราชวงศ์โมคุลซึ่งนับถือศาสนาอิสลามได้ขึ้นปกครองประเทศอินเดียและได้แพร่ขยายอำนาจไปทั่วทั้งประเทศ แม้ว่าพระจักรพรรดิบางองค์ในราชวงศ์โมคุล เช่น พระเจ้าอักบาร์มหาราชจะทรงพยายามตั้งศาสนาขึ้นใหม่ เพื่อให้ศาสนาอิสลามเข้ารวมกับศาสนาฮินดูได้ แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงเป็นผลให้ประเทศอินเดียต้องแบ่งแยกออกเป็นประเทศอินเดียส่วนหนึ่งและประเทศปากีสถานอีกส่วนหนึ่ ดังเช่นที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบันนี้นั่นเอง
................................
อารยธรรมอินเดียที่เผยแพร่เข้าสู่เอเชียอาคเนย์มีหลักฐานที่จับต้องได้ เช่น ภาษา (ทั้งตัวอักขระ และศัพท์ภาษา -ผู้เขียน) ปฏิทินจันทรคติและสุริยคติ โลกสัณฐาน มหากาพย์รามายณะ นิทานปุราณะ ศิลปะ การปกครองและกฎหมาย การแบ่งชนชั้นทางสังคม ของประชาชนตามระบบวรรณะ ซึ่งอารยธรรมเหล่านี้มีผลต่อสังคมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งสิ้น
ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงตั้งข้อสันนิษฐานถึงอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียว่าเป็นอรายธรรมที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชนเผ่าต่างๆ คาบสมุทรอินโดจีน จนกระทั่งในศตวรรษที่ ๑๘ อารยธรรมอินเดียจึงได้เสื่อมลง (ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล อ้างใน “ประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์ ถึง พ.ศ.๒๐๐๐” หน้า ๙)
พระพรหมและ พระนารายณ์ (ภาพล่าง) สลักบนบานประตูไม้ ทางขึ้นสู่พระมหาธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช

ภาคใต้ของประเทศไทยในอดีตเป็นแหล่งที่รับเอาอารยธรรมอินเดียโดยตรง จึงกลายเป็นดินแดนที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ นอกจากมีหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นว่ามีผู้คนอาศัยอยู่เป็นสภาพของชุมชนมาตั้งแต่สมัยหินใหม่ เนื่องจากพบเครื่องมือหินขัดและเครื่องประดับ ตลอดจนภาชนะดินเผาของคนในสมัยดังกล่าวนี้ในหลายท้องที่ เช่น อำเภอท่าชนะ คีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เป็นต้น
ถัดจากสมัยหินมาเป็นสมัยโลหะ ก็เป็นยุคที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญของบรรพบุรุษในด้านเทคนิควิทยาของผู้คนที่อยู่ในภาคใต้ ปรากฏพบเครื่องมือสัมฤทธิ์ เครื่องประดับ ภาชนะดินเผาเขียนสีในหลายพื้นที่ มีรูปแบบที่จัดอยู่ในวัฒนธรรมดองซอน ซึ่งพบได้ทั่วไปในประเทศแถบนี้ วัฒนธรรมนี้กำหนดอายุไว้ที่ประมาณ ๑๐๐ – ๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือเก่าไป้กว่านั้น โบราณวัตถุในสมัยโลหะของภาคใต้ที่พบ คือ กลองมโหระทึกที่พบได้ในหลายพื้นที่ เช่น ตำบลถ้ำพรรณรา ตำบลนากะซะ อำเภอฉวาง ตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ตำบลบางเดือน ตำบลน้ำรอบ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี และภาชนะดินเผาเขียนสีแดง พบในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดนครศรีธรรมราช (และมีอีกใบหนึ่งที่พบในอำเภอเกาะสมุย ซึ่งอยู่ในการครอบครองของเอกชน)
โบราณวัตถุทั้งสองอย่างนี้เป็นรูปแบบเดียวกับที่พบอยู่ในประเทศต่างๆ ของเอเชียอาคเนย์ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมภาคใต้ของไทยกับประเทศเหล่านั้นในสมัยต้นพุทธกาล จึงสรุปว่า ทางภาคใต้ของไทยจึงไม่ได้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว หากแต่มีการติดต่อเกี่ยวข้องกับชุมชนในดินแดนอื่นอยู่ก่อนแล้ว หลักฐานดังกล่าวจึงย่อมแสดงให้เห็นว่าได้มีการติดต่อกันทางทะเลอย่างไม่ต้องสงสัย (อ้างใน ศรีศักร วัลลิโภดม)

(ภาพบน - ล่าง โบราณสถานโมคลาน นครศรีธรรมราชเป็นหลักฐานว่า บ้านโมคลานอาจเป็นชุมชนเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีการติดต่อกับชุมชนภายนอก จากหลักฐานที่พบ ซึ่งมีทั้งเทวสถาน โบราณวัตถุในศาสนาพราหมณ์ สระน้ำโบราณ แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายในบริเวณนี้ แต่ต่อมาอิทธิพลของพุทธศาสนานิกายมหายานได้เข้ามาตั้งรกรากในบริเวณข้างเคียงกัน เเละพบหลักฐานโบราณวัตถุสถานทางศาสนาพุทธอีกมากมาย แต่โบราณสถานทางศาสนาแห่งนี้คาดว่าคงจะถูกทอดทิ้งไปเป็นเวลานาน อาจจะก่อนหรือพร้อมกับการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวไทยมุสลิม ซึ่งอพยพมาจากรัฐไทรบุรี กลันตัน และตรังกานู ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๐ เป็นต้นมา จนในปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่ของบ้านโมคลาน และบ้านมะยิง จึงเป็นไทยมุสลิม ร้อยละ ๗๐ อีกร้อยละ ๓๐ เป็นชาวไทยพุทธ)


(วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช สามารถเป็นมรดกโลกได้อย่างไม่ต้องประกาศยกย่อง ถ้าหากชาวนครรู้จักประวัติศาสตร์และคุณค่าในอัตลักษณ์ของตนเอง)
ปรีชา นุ่นสุข กล่าวว่าตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๙ - ๑๐ ได้ปรากฏอิทธิพลศาสนาของอินเดีย คือพุทธศาสนา และศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกาย ซึ่งนับถือพระวิษณุหรือพระนารายณ์เป็นเทพสูงสุดขึ้นในคาบสมุทรไทยแล้ว ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย ซึ่งเคารพนับถือพระศิวะหรือพระอิศวรเป็นเทพสูงสุด ก็ได้สถาปนาอย่างมั่นคงในรัฐตามพรลิงค์ อันมีเมืองโบราณนครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลาง โดยในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ คณะพราหมณ์ของพระอคัสตยะ ก็ได้อภิเษกผู้นำของรัฐตามพรลิงค์ขึ้นเป็นเทพ - กษัตริย์ (God - King) แห่งรัฐ เรียกว่า "ตามพรลิงเคศวร"
ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๖ ศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายได้เป็นพลังผลักดันที่สำคัญ แห่งพัฒนาการของรัฐตามพรลิงค์ โดยเทพ - กษัตริย์ แห่งรัฐทรงสถาปนาระบบมัณฑละ (mndala) ขึ้น ด้วยการสถาปนาสภาพภูมิประเทศศักดิ์สิทธิ์ ให้เป็น ตีรถะ (Tirtha) จำนวนมากมาย รวมทั้งได้สร้างเทวาลัยขึ้นในตีรถะเหล่านั้น เพื่อการจาริกแสวงบุญ ตามระบบความเชื่อในศาสนาด้วย ตีรถะแต่ละแห่งถูกสร้างขึ้น ในรูปของภาพจำลองแผนภูมิจักรวาล หรือมัณฑละอันศักดิ์สิทธิ์ อันมีพระศิวะประทับอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของมัณฑละ ในลักษณะที่เป็นสัญลักษณ์รูปศิวลึงค์ รวมทั้งในลักษณะที่เป็นยอดเขา ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เรียกว่า ลิงคบรรพต อาทิ ยอดเขาในมัณฑละ ณ เขาคา อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ยอดเขาในมัณฑละ ณ หัวเขาบน (เขาศรีวิชัย) อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ยอดเขาในมัณฑละ ณ เขาคูหา อำเภอ สทิงพระ จังหวัดสงขลา และยอดเขาในมัณฑละ ณ เขาพระเหนอ อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เป็นต้น (อ่านเพิ่มเติมในในเอกสารอ้างอิงของ ปรีชา นุ่นสุข – ผู้เขียน)
ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล กล่าวว่า การเผยแพร่อารยธรรมอินเดียเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย ถือได้ว่ามีอิทธิพลต่อศิลปะต่อชนเผ่าในแถบนี้มาก ตัวอย่างเช่น ศิลปะขอม ศิลปะจาม ศิลปะทวารวดี ศิลปะพม่า ซึ่งรับเอาอารยธรรมนั้นเข้ามาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๘ ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล กล่าวว่า อิทธิพลของอารยธรรมอินเดียที่สะท้อนในงานศิลปะอินเดียในงานศิลปะไทย ลาว และขอมนั้นเป็นศิลปะรุ่นหลังหรือถัดมาจากศิลปะพม่า ถึงอย่างไรก็ตามทุกชนเผ่าต่างก็รับเอาอารยธรรมอินเดียเข้ามาแล้วสร้างเป็นงานศิลปะของตนเองในไม่ช้า เช่น สถาปัตยกรรมขอมได้เจริญขึ้นมาก มีระบบระเบียบและความงามอย่างที่ไม่เคยปรากฎในศิลปะอินเดียมาก่อน ลวดลายเครื่องประดับในองค์ปราสาทหินขอมนั้นแสดงออกถึงการประณีตบรรจงอย่างมากและรังเกียจการทิ้งพื้นที่ไว้อย่างว่างเปล่าแต่ก็ได้สัดส่วน (ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล, อ้างใน “ประวัติศาสตร์ศิลปะประเทศใกล้เคียงฯ”)
แต่ถึงอย่างไรก็ตามงานศิลปะที่เกิดขึ้นในทุกประเทศเหล่านี้ก็สะท้อนถึงความเชื่อทางศาสนา ลัทธิ ความเชื่อที่ได้รับการถ่ายทอดเผยแพร่มาจากอารยธรรมอินเดียทั้งสิ้น การศึกษางานศาสนาและงานศิลปะจากอินเดียจะทำให้ผู้ศึกษาทุกๆ รุ่น ได้เข้าใจในลักษณะของศิลปะ และแก่นแท้ของศาสนา ความศรัทธานับถือ การบูชาเคารพของศาสนาตนอีกด้วย แต่ทั้งนี้อยู่ในข่ายวิสัยและวิจารณญาณของผู้ศึกษานั้นเอง
……………………………..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น