วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

ไทย-แขก-จีน-ฝรั่ง-พม่า-ลาว-กัมพูชา-โรฮิงญา ความหลากหลายทางชาติพันธุ์


ที่โรงพยาบาล คนไข้ที่เรายังไม่ทราบชื่อ-สกุลที่เจ็บป่วยมา เรามักตั้งชื่อเรียกเขาขึ้นมาชื่อๆ หนึ่ง โดยเรียกว่า “ชายไทยไม่ทราบชื่อ” หรือ “หญิงไทยไม่ทราบชื่อ” เพราะทุกคนที่เจ็บป่วยและยังไม่ทราบสัญชาติที่แน่ชัดนั้น เรามักจะยก “สัญชาติไทย”  ให้เขาได้ทั้งหมด กรณีนี้ไม่เว้นแม้แต่คนต่างด้าว หรือต่างสัญชาติที่ยังไม่มีหลักฐานปรากฏก็ตาม เราจะไม่สันนิษฐานทึกทักเอาเองว่า คนไข้คนนั้นเป็นคนสัญชาติพม่า กัมพูชา ลาว หรืออะไรก็ตาม

ราวกับว่า ประเทศไทยเราเป็นชาติที่ไม่ขี้เหนียวเรื่องสัญชาติ ใครมาอยู่เมืองไทยเป็นได้สัญชาติไทยไปทั้งหมด เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที

ภาพ "เรือมนุษย์" ในสมัยสงครามเวียดนาม

สัญชาติ (Nationality) หมายถึง การเป็นสมาชิกหรือประชาชนของประเทศใดประเทศหนึ่งตามกฎหมาย  แม้ลักษณะของบุคคลทางชีวภาพและวัฒนธรรมอาจจะมีความแตกต่างกันก็ตาม ผู้ที่เกิดในประเทศใดก็จะได้สัญชาติของประเทศนั้น ผู้ที่ถือสัญชาติของประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็จะเป็นประชาชนประเทศนั้น ๆ ด้วย และสัญชาติเป็นสิ่งที่โอนย้ายกันได้ตามกฎหมาย
เชื้อชาติ (Race) หมายถึง ลักษณะเฉพาะทางชีวภาพของคนซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนจากลักษณะรูปพรรณ สีผิว  เส้นผม  และนัยน์ตา  คนที่อยู่ภายใต้บริบทของวัฒนธรรมชาติใดก็ตาม เราเรียกว่า ชาติพันธุ์ (Ethnicity) ซึ่งมีความเชื่อตามประเพณีวัฒนธรรมเฉพาะของตนอีกมากมาย
ทั้งนี้ ผู้ที่มีเชื้อชาติเดียวกันมักจะมีความรู้สึกผูกพันกันทางสายเลือดและทางวัฒนธรรม  ถ้ายิ่งนับถือศาสนาเดียวกันก็จะรู้สึกผูกพันกันยิ่งขึ้น เช่น คนไทยเชื้อสายจีน มักมีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้จะสืบเชื้อสายมาจากต่างพ่อต่างแม่กันก็ตาม แต่ก็เหมือนเป็นคนที่มีเชื่อชาติหรือสืบเผ่าพงศ์พันธุ์ต่อมาจากชาวจีนหรือจากประเทศจีน หรือแม้แต่มีเพียงบรรพบุรุษเป็นชาวจีนที่เกิดและอาศัยอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็มีความรู้สึกว่าเป็น “คนไทยเชื้อสายจีน” กันทั้งหมด
คนไทยเชื้อสายอื่นก็เช่นเดียวกัน แม้จะไม่ได้กล่าวถึง ณ ที่นี้ก็ตาม แต่ “คนไทยเชื้อสายจีน” ดูจะมีความโดดเด่นในเรื่องวัฒนธรรมของตนเองชัดเจนมากที่สุดอีกเชื้อชาติหนึ่ง 
โดยเฉพาะช่วง "เทศกาลตรุษจีน" จะเห็นว่ามีคนไทยเชื้อสายจีนออกมาปฏิบัติตามประเพณีไหว้เจ้าไหว้บรรพบุรุษกันอย่างมากมาย จนน่าใจหายว่า คนไทยที่แท้จริงหายไปอยู่ไหนกันหมด 

(ภาพ  "ไทเกอร์ วู้ดส์" ก็เป็น อีกตัวอย่างหนึ่งของความหลากหลายทางเชื้อชาติ)

ความหลากหลายทางเชื้อชาติ (multiracial) ดูจะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ที่มีคนย้ายเข้าย้ายออกประเทศต่างๆ ได้ง่ายกันเต็มไปหมด แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการโอนไปเป็นคนสัญชาติอื่นไปแล้ว แต่ตัวตนและบรรพบุรุษก็ยังคงเป็นคนเชื้อชาติเดิม เพียงแต่อาจจะมีรูปพรรณ สีผิว ฯลฯ เปลี่ยนแปลงไปบ้างในรุ่นต่อๆ ไป
ในประเทศอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งยอมรับและประกาศตนว่า เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เนื่องจากมีผู้คนจากหลายเชื้อชาติมารวมกัน ทั้งอาฟริกา เอเชีย ยุโรป มีทั้งคนผิวสีดำ คนผิวสีเหลือง คนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งแตกต่างและปะปนกันอยู่ทั่วไปในประเทศและก็ถือสัญชาติเดียวกัน   
ความเป็นคนต่างเชื้อชาตินี้เอง บ่อยครั้งทีเป็นปัญหา ตั้งแต่ปัญหาเล็กๆ จากเพียงแค่ “น้ำผึ้งหยดเดียว”แท้ๆ ไปจนถึงปัญหาใหญ่ๆ  เพียงเค่คนในชาตินั้นเองก็รู้ได้ว่าคนไหนเป็นคนเชื้อสายใด ซึ่งดูได้จากลักษณะของรูปพรรณ สีผิว  สีผมนั้นเอง แต่ถ้ายิ่งให้มีการระบุให้ชัดเจนลงไปในเอกสารทางราชการด้วยแล้วก็ยิ่งอาจนำมาซึ่งปัญหายุ่งยากต่อไปอีก  อย่างกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุดที่มีหนุ่มแฝดคู่หนึ่งที่ในเอกสารนั้นระบุสีผิวแตกต่างกัน ทั้งๆ ที่เกิดมาเป็นคู่แฝดจากไข่ใบเดียววัน และอีกหลายกรณีที่เป็นปัญหาระดับชาติ เพียงเพราะความคิดว่าตนเองฉลาด (กว่าคนอีกกลุ่มหนึ่ง)
หลายประเทศจึงไม่ระบุเชื้อชาติไว้ในบัตรประจำประชาชน เพราะอาจมีปัญหาในทางปฏิบัติต่อกันได้ ในประเทศไทยเราก็ไม่ระบุเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ ระบุแต่เพียงสัญชาติไว้ในเอกสารทางราชการ   
มีบางประเทศที่ประชาชนในประเทศนั้นไม่ยอมรับในความหลากหลายทางเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ก็เกิดการฆ่า การฆาตกรรม ตัดหัวเสียบประจาน หรือข่มขืน ปล้นชิงทรัพย์กัน จนทำให้สังคมโลกไม่ยอมรับกับความใจแคบของคนในประเทศนั้น นอกจากทำให้คนต่างชาติพันธุ์จะยอมอพยพโยกย้ายถิ่นฐานออกไปแล้ว ยังไม่มีคนต่างถิ่นกล้าเข้าไปคบค้าสมาคมอีกด้วย
นี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ว่า ทำไมการยอมรับในความหลากหลายทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์นั้นจึงมีความสำคัญ แต่การยอมรับนั้นก็ต้องมีการ “ขีดเส้น” กำหนดกฎเกณฑ์บางอย่างเอาไว้บ้าง เพราะไม่เช่นนั้น ก็อาจมีประเทศที่ไม่ยอมรับความหลากหลายทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ในประเทศตนนั้นเองที่ผลักดันประชาชนออกนอกประเทศอยู่เรื่อยๆ  ทำให้พวกเขากลายเป็น “คนไร้สัญชาติ” ไป
เช่น ปัจจุบันนี้ก็ยังมีปัญหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวจีนในบางเกาะของประเทศอินโดนีเซีย  ปัญหาการอพยพของชาวโรฮิงญาในประเทศพม่า ฯลฯ  


หากเรามองเห็นปัญหาการรังเกียจเดียดฉันท์เรื่องเชื้อชาติในต่างแดนเช่นนี้แล้ว จะเห็นว่าปัญหาเรื่องเชื้อชาติในประเทศไทยของเรา “เล็กลงถนัดตา” เลยทีเดียว จึงขอภาวนาอย่าให้เกิดปัญหาเดียวกันนี้ที่ประเทศไทยเราเลย

ท่ามกลางความหลากหลายทางชาติพันธุ์บนแผ่นดินไทย ผู้เขียนขอยืมคำนี้มาจากพี่น้องเชื้อสายจีนมากล่าวกับทุกๆ ท่านครับ
“ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้"  
...................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น